หน้าแรก ข่าวในประเทศ ข่าวทั่วไป

สนช. ผ่านร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ วาระ 3 ให้มหาดไทยดูพาแทนกรมการศาสนา

สนช. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ ถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงวัฒนธรรมให้มหาดไทยดูแล เพื่อให้สมบูรณ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์พิจารณาเสร็จแล้ว โดยในร่างนี้มีการแก้ไขในเรื่องสำคัญ คือ ถ่ายโอนภารกิจ ให้กระทรวงมหาดไทย ดูแลแทนกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยและเป็นผู้รักษาการ ตามพระราชบัญญัตินี้ จากเดิมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นรองประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่ง ประเทศไทย ซึ่งเดิมเป็นปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเพิ่มผู้แทนปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนกรมการศาสนา ผู้แทนสำนักจุฬาราชมนตรี ผู้แทนศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และผู้แทนบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้การอภิปรายสงวนคำแปรญัตติของสมาชิกสนช. ได้สงสัยเกี่ยวกับเรื่องสัดส่วนกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ แห่งประเทศไทย ซึ่งนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ประธานกรรมาธิการ ฯ ชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงในร่างกฎหมายนี้ทุกฝ่ายหารือกันมาพอสมควร และที่เพิ่มสัดส่วน ให้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมนั้นเพราะช่วยเหลือกิจการฮัจย์ ได้ดีเนื่องจากเคยทำหน้าที่มาก่อน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมบูรณ์มากขึ้น และกฎหมายนี้จะทำให้การดำเนินกิจการฮัจย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายสมคิด ยังชี้แจงกรณีที่มีการปล่อยข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดในโซเชียลมีเดียโดย ยืนยันในร่างพ.ร.บ.นี้จะ ไม่มีการตั้งนิติบุคคลขึ้นมาเพราะมี กรมการปกครองดูแล ส่วนกระแสข่าวที่ว่าจะรับคนมุสลิมมาทำงานในกระทรวงมหาดไทยมากขึ้นนั้นก็ไม่ เป็นความจริง พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการเดินทางไปฮัจย์ เพราะผู้เดินทางต้องออกค่าใช้จ่ายเอง รัฐเพียงแต่ดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกให้เท่านั้น เรื่องรักษาพยาบาล

ทั้งนี้หลังพิจารณารายมาตราเสร็จสิ้น สนช. ได้ลงมติผ่านความเห็บชอบร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์161 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ

ที่มา สำนักข่าวไทย