เป็นมุสลิมเต็มตัวแล้วสำหรับอดีตดาราและนักร้องชื่อดัง นุ๊ก สุทธิดา โดยเธอเพิ่งได้รับใบประกาศนียบัตรจาก ท่านจุฬาราชมนตรี ไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากที่ตั้งใจศึกษาศาสนาอิสลาม และปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งดาราสาวได้กล่าวว่าเดิมทีนั้น “ทั้งรัก และเกลียด” ศาสนานี้ จึงอยากจะศึกษาว่าศาสนาอิสลามพูดถึงอะไร กระทั่งทำให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกมาเป็นชอบ และตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาในที่สุด
กับ กระแสที่ผ่านมาทั้งคนรอบข้าง และสังคมในโซเชียล หลังจากที่สาวนุ๊กเปลี่ยนศาสนานั้นก็มีให้เห็นมากมาย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ก่อนหน้านั้นเธอเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีมาตลอด ถึงขั้นโกนผมบวชชีที่ประเทศอินเดียมาแล้ว โดยเธอยอมรับว่ามีหลายคนที่ช็อก! กับเรื่องนี้ แต่เธอก็รู้สึกเฉยๆ เพราะคนในครอบครัวก็ให้การสนับสนุน ส่วนเธอเองก็ได้เริ่มปูทางให้ลูกชายทั้งสองคน น้องปาแปง กับ น้องปิ๊ปโป้ เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วยเช่นกันในอนาคต ซึ่งสาว นุ๊ก สุทธิดา ได้เปิดใจเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนศาสนาของเธอมาเป็นครั้งแรก!! ดังนี้
แรง บันดาลใจที่อยากเปลี่ยนศาสนา เธอบอกว่ามาจากความอยากรู้ และความไม่ชอบ “จริงๆ ก็เริ่มจากเราศึกษาค่ะ อยากรู้ว่าอิสลามพูดถึงอะไร อิสลามเนี่ยสมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้ศึกษาเป็นศาสนาที่เราทั้งรัก ทั้งเกลียดที่สุด เรารู้สึกว่าคุณค่าของการถือศีลอดมันดี แต่เราก็อาจจะมองบางอย่างที่เราไม่ชอบ กลายเป็นเกลียดที่สุด แต่ว่าเราก็มานั่งนึกว่าทำไมเราถึงเกลียดที่สุด หรือเรารักที่สุดอะไรอย่างนี้ เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจ เราก็เลยอยากจะไปศึกษา ไปเรียนค่ะ แล้วก็พอเราศึกษา ไปเรียนเราก็เลยรู้สึกชอบน่ะค่ะ พอเราเข้าใจในสิ่งที่ศาสนาพูด ก็เลยอยากจะเปลี่ยน”
สาวนุ๊กกล่าว ถ้ามีความศรัทธาแล้วไม่มีอะไรยาก “ไม่ยากค่ะ แต่เราต้องมีความศรัทธา ขั้นตอนของนุ๊กไม่นาน พอนุ๊กไปเรียนแล้วเกิดความศรัทธาในกฎ สภาวะต่างๆ ข้อกำหนดต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก็ดี หรือว่าท่านนบีได้ทรงกำหนดไว้ก็ดี เราเกิดความเข้าใจน่ะค่ะแล้วก็เห็นคุณค่าของกฎต่างๆ มันเกิดความศรัทธาค่อนข้างในเวลาที่รวดเร็วน่ะค่ะ ก็ถ้าเริ่มสนใจก็ประมาณปลายปีที่แล้วค่ะ”
หลัง จากเปลี่ยนศาสนา ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนมาก “จริงๆ ชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนมากจนเกินไปนะคะ ก่อนที่จะรับก็ปฏิบัติอย่างเช่นมุสลิมทั่วไปเนี่ยอยู่ประมาณเกือบ 2 เดือนแล้วค่ะ วันนั้นก็ตื่นเต้นค่ะ เพราะว่าเป็นวันที่รับประกาศนียบัตรเกี่ยวกับการสอบด้วย โดยท่านจุฬาราชมนตรีก็มาเป็นประธานในการมอบให้ใช่ไหมคะ วันนั้นเองก็เซอร์ไพรส์กันกลางเวทีเลยก็คือถามเลยว่าจะรับตอนนี้ไหม ซึ่งตอนนั้นเนี่ยยังไม่ได้เตรียมตัวค่ะ คิดว่าจะไปรับกันสองคนกับอาจารย์อะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วแบบต้องรับกลางเวทีแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ”
ปลื้ม สอบได้คะแนนเต็มร้อย “ใช่ค่ะ ก็เป็นความตั้งใจ เพราะเราก็รู้สึกว่าเป็นปีที่ 2 ที่ท่านจุฬาราชมนตรีให้เกียรติมามอบประกาศนียบัตรแล้วก็หลังจากที่ท่านเนี่ย ห่างหายไป 4-5 ปี เพราะว่าด้วยสุขภาพน่ะนะคะ ปีนี้ก็เหมือนกับกลับมาใหม่อะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ทำคะแนนสอบให้ดีๆ”
สำหรับ เธอศรัทธาอย่างเดียวไม่เพียงพอ จึงขอสอบเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง “ก็ส่วนหนึ่งนะคะ เพราะว่าตอนแรกเนี่ยเขาก็มีคนบอกเหมือนกันว่าถ้าสนใจ อยากจะรับก็รับได้เลยอะไรอย่างนี้เรื่องของศาสนา ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความศรัทธา ความเชื่ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ยเมื่อมีศรัทธาก็สามารถรับได้เลย แต่ว่าด้วยความที่นุ๊กก็รู้สึกว่า สำหรับนุ๊กเป็นเรื่องพิเศษนะคะ แล้วก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง เพราะฉะนั้นเนี่ย นุ๊กก็รู้สึกว่าการที่เราศรัทธาอย่างเดียว สำหรับนุ๊กเองนะคะ นุ๊กก็รู้สึกว่ายังไม่พอ อยากจะทำให้เห็น ใช้ทั้งสติปัญญาที่เรามีมากที่สุด ใช้ความพยายามมากที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองนะคะ ไม่ได้พิสูจน์กับใคร”
เผย การละหมาดคือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต “ทุกวันนี้หรอคะ น่าจะเป็นเรื่องละหมาดค่ะ ที่รู้สึกว่าช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้น เป็นระบบมากขึ้นค่ะ ที่เหลือเนี่ยอาจจะเป็นเรื่องอื่นซึ่งอาจจะเล็กๆ น้อยๆ น่ะค่ะ เป็นเรื่องภายนอก อาจจะมียุ่งยากบ้างบางครั้งเรื่องแต่งตัวอย่างนี้ ด้วยความที่เราก็ไม่เคยมีพื้นฐานมาตรงนี้ เสื้อผ้าอะไรก็ไม่มีอย่างนี้ ก็ค่อนข้างลำบากเวลาจะออกจากบ้านแต่ละครั้งเหมือนกัน”
“ก็ ถูกต้องค่ะ คือเรื่องเสื้อผ้าอะไรอย่างนี้นุ๊กว่า คือจริงๆ แล้วท่านนบีก็เน้นในเรื่องของ ตอนที่ท่านประกาศศาสนาเนี่ยท่านก็เน้นในเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธาในพระผู้สร้างที่มีอยู่จริงนะคะ แล้วก็เน้นในเรื่องของมูฮัมหมัดคือศาสนทูตอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเนี่ยท่านเน้นมาตลอด ถ้าจำไม่ผิดที่นุ๊กทราบมาก็คือ 13 ปีนะคะ ก่อนที่จะมีเรื่องของการแต่งตัวเข้ามาในภายหลังอะไรอย่างนี้ค่ะ”
“เพราะ ฉะนั้นเนี่ยนุ๊กก็ถือว่าใจเราก็สำคัญที่สุดเช่นเดียวกัน เพราะว่าการแต่งตัวเนี่ย เราก็ยึดเอาแก่นน่ะค่ะ เพราะการแต่งตัวเนี่ย ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ปกปิดคือสิ่งที่น่าเกลียด หรือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของผู้หญิง แต่แค่อยากจะให้ผู้หญิงเนี่ยรักนวลสงวนตัว แล้วก็ดูแลตัวเอง แล้วก็ไม่อยากให้ไปสร้างปัญหาให้กับสังคมอะไรอย่างนี้นะคะ ในเรื่องของอาจจะแบบชู้สาว หรือว่าในเรื่องของความอันตรายต่างๆ ซึ่งตรงเนี้ยะบางทีถ้าเรายังไม่สะดวก หรือว่าเราต้องทำงาน หรือว่ามีเหตุผลที่จำเป็นอะไรอย่างนี้ค่ะ นุ๊กเชื่อว่าพระองค์ก็ไม่ได้ทรงประทานความยากลำบากให้กับใครสักคนนะคะ เราก็เอาตรงนี้ก่อนค่ะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพร้อม หรือว่ามีโอกาสเราก็ทำค่ะ นุ๊กไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องยากลำบากขนาดนั้น”
ชี้ การแต่งกายที่ต้องเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้มีผลกับการทำงานของเธอเลย “ไม่เลยค่ะ เพราะว่านุ๊กพยายามจะไม่ให้มีผลกับการทำงานเลย คือนุ๊กอยากให้การเป็นมุสลิมของนุ๊กเนี่ยอยู่ในท่ามกลางความรักของคนพุทธได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราไปทำงานนุ๊กก็จะถามตั้งแต่แรกๆ ถามแบบสบายๆ น่ะค่ะว่าใส่ได้ไหมอะไรอย่างนี้ค่ะ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ยิ้มๆ โอเคไม่ได้ ก็ไม่ได้นี่ ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย คลุมผ้าได้ไหมอะไรอย่างนี้ค่ะ บางที่ก็จะบอกไม่ได้อย่างนี้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรอย่างนี้ ก็ไม่เห็นจะต้องชักสีหน้า หรือว่าต้องโกรธอะไรเลย ก็แล้วแต่พระองค์นะคะ เมื่อไหร่มีโอกาสพระองค์ก็คงจะประทานโอกาสที่ดีให้เองอย่างนี้ค่ะ ก็คิดว่าเป็นมุสลิมที่อยู่ท่ามกลางความรักของคนพุทธน่าจะน่ารักกว่า”
ต้อง แต่งกายมิดชิด ไม่รับงานเซ็กซี่ และฉากเลิฟซีน “จริงๆ ถ้าตามหลักก็เปิดได้เฉพาะหน้ากับมือนะคะ การทำงานปกติค่ะ เพียงแต่ว่าเราก็คงไม่รับบทที่มันโป๊ หรือว่าเซ็กซี่อะไรอย่างนี้ นะคะแต่ว่าถ้าเกิดว่าทำงานก็คงปกติน่ะค่ะ รับบทเป็นนักฆ่า เป็นครู เป็นอะไรที่มันไม่ได้เน้นเซ็กซี่อะไรอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เลิฟซีนคงไม่ได้ เพราะคือจริงๆ ตามงานของนุ๊กก็ไม่ค่อยมีเลิฟซีนอยู่แล้ว หรือว่าด้วยคาแรกเตอร์ก็ไม่ได้เป็นคนเซ็กซี่ ออกจะสปอร์ตๆ อย่างนี้ค่ะ ก็เลยคิดว่าคงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่”
รับ คนรอบข้างมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ อีกทั้งกระแสในโลกโซเชียลจากก่อนหน้าค่อนข้างจะมีเยอะ “ก็มีทั้งเข้าใจ และไม่เข้าใจนะคะ รอบข้างไกลๆ อาจจะไม่เข้าใจ แต่รอบข้างที่ไกลมากๆ เข้าใจ เออแปลก รอบข้างที่ใกล้มากๆ เข้าใจ แต่รอบข้างกลางๆ อะไรอย่างนี้ที่แบบไม่ค่อยสนิทกันมาก กับกระแสโซเชียลนุ๊กเฉยๆ นะคะ เพราะเป็นรอบข้างไกลๆ เราก็ไม่ค่อยได้สนใจแต่ว่าส่วนมากน่ะไกลๆ จะไม่ค่อยมีปัญหานะคะ เขาก็แค่งง อยากรู้ สงสัยว่าเอ๊ะทำไมถึงเปลี่ยนอย่างนี้ค่ะ จะมีแต่รอบข้างที่ไม่ค่อยสนิทน่ะค่ะที่แบบชอบไปถามหรือพูดกันว่า ทำไมถึงเปลี่ยนนะ ส่วนมากคนพวกนี้ที่ถามซ้ำแซะน่ะค่ะ ที่ไม่ใช่ว่าถามครั้งเดียวแล้วจบน่ะค่ะ ซ้ำแซะจะเอาอยู่นั่นน่ะ คนพวกนี้ไม่ได้ปฏิบัติศาสนาของตัวเองด้วยซ้ำนะคะ แล้วก็วันๆ เอาแต่ยุ่งแต่เรื่องของชาวบ้านซึ่งก็ต้องปล่อยเขาไปน่ะค่ะ”
สำหรับ ทางครอบครัวของเธอ ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี “ที่บ้านก็ไม่ได้คัดค้านนะคะ ก็ค่อนข้างที่จะสนับสนุน แต่ก็ไม่ได้แบบเอาเลย ถือว่าเขาซัพพอร์ทเราเต็มที่น่ะค่ะเวลาเราจะทำอะไร หรือว่าเราไม่ทานอะไรเขาก็จะไม่เอาเข้าบ้านอย่างนี้ค่ะ ตัวเขาก็เหมือนกับอดทานไปด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ซีเรียสกัน เขาก็โอเคๆ ไม่ซีเรียส แต่อาจจะมีบ้างถ้าสมมุติว่าเราบอกลูก สอนลูก เขาอาจจะแบบอื้มมมม อะไรอย่างนี้ะค่ะ คือเหมือนกับว่าเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคลซึ่งเราก็ควรจะทำใน ส่วนของเราอย่างนี้ค่ะ แต่ว่าแน่นอนว่าเราในฐานะแม่นะคะเราก็จะต้องให้ในสิ่งที่ดีที่สุด หรือว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับลูกเหมือนกัน”
ที่ ผ่านมาปลูกฝังศาสนาพุทธให้ลูก ตอนที่เปลี่ยนมานับถืออิสลามทำให้ลูกชายรู้สึกช็อกบ้าง “ยังก้ำกึ่ง ก็ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ เพราะเขาไม่ได้ออกมาคัดค้าน อาจจะยิ้มๆ แบบ อื้มมมมม อะไรอย่างนี้ แต่ไม่คัดค้าน ทำให้ลำบากใจเวลาสอนลูกไหม ไม่ค่ะ เพราะว่าสำหรับลูกนุ๊กว่านุ๊กสร้างได้ค่ะ แรกๆ อาจจะมีบ้างที่เขาช็อก ตกใจอย่างนี้ค่ะ เพราะว่าด้วยความที่เราก็ปลูกฝังเขาให้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีมากนะคะ เขาก็มีความภูมิใจ แล้วก็มีความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธระดับนึงเลยล่ะค่ะ เพราะว่านิทาน หรือว่าอะไรที่เราอ่านเราก็จะพยายามเน้นในเรื่องของศาสนา”
“แต่ พอเราเปลี่ยนเราก็ค่อยๆ น่ะค่ะ ค่อยๆ บอกเขา แรกๆ อาจจะตกใจแต่พอหลังๆ ก็จะไม่ได้บังคับน่ะค่ะ ให้เขาเข้าใจว่าทำไม แล้วก็ทำให้เห็นเช่นการละหมาด พอเราทำให้เห็นในเรื่องของการละหมาดบ่อยๆ เขาก็จะเริ่มสนใจว่าแม่ทำอะไร บางทีก็มายืนละหมาดข้างๆ แบบเลียนแบบน่ะค่ะ พอเขาเริ่มเปิดใจเราก็จะเริ่มอธิบายถึงพระผู้สร้างอะไรอย่างนี้ค่ะ ว่าเป็นใคร ค่อยๆ น่ะค่ะทีละนิด แล้วก็เริ่มเอาหนังสือการ์ตูนที่เกี่ยวกับศาสนามาเล่าให้ฟัง”
การ สอนลูกไม่ต้องเปลี่ยน เพราะทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี “ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนนะคะ เพราะว่าจริงๆ แต่ละศาสนาหลักการ หรือว่าแก่นของศาสนาทุกศาสนาก็คือสอนให้ทุกคนเป็นคนดีนะคะ เราก็เคารพในกฎ ในหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนมาก แต่ว่าดีเทล หรือว่ารายละเอียดข้อห้ามอะไรอย่างนี้อาจจะมีที่มันแตกต่างกันบ้างเท่านั้น เอง”
เผยเตรียมปู ทางให้ลูกชายทั้งสองคน เปลี่ยนศาสนามานับถืออิสลามเหมือนกัน “จริงๆ ถ้าตามหลักศาสนาเขาเปลี่ยนอยู่แล้วนะคะ เพราะว่าเมื่อแม่เป็นศาสนาใด ลูกถ้ายังไม่บรรลุศาสนภาวะก็ยังถือว่าเปลี่ยนตามแม่ แต่ถ้าเกิดว่าแม่เปลี่ยนตอนที่ลูกเป็นหนุ่มแล้วบรรลุศาสนภาวะอันนั้นลูกก็ ไม่ได้เปลี่ยนตาม ถ้าตามหลักศาสนานะคะ แต่นุ๊กเชื่อว่าจริงๆ แล้วทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ความเชื่อของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเชื่ออะไรนะคะในความรู้สึกนุ๊ก เราทำในสิ่งที่เราศรัทธา ในสิ่งที่เราเชื่อ แล้วเราก็อย่าไปละทิ้งความศรัทธา นุ๊กว่าอันนั้นน่ะมันสำคัญที่สุดค่ะ”
ที่มา http://www.publicpostonline.net/1558