นับตั้งแต่ที่การพูดคุยเพื่อ สันติภาพระหว่างรัฐไทยกับขบวนการบีอาร์เอ็นเริ่มต้นขึ้น หลายคนก็ได้คาดหวังถึงสันติภาพว่าอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงๆ ในปาตานี แม้เหตุการณ์ความรุนแรงที่ยังคงปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน จะเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนยังคงสงสัยกังขา และทำให้มีกระแสในฝ่ายรัฐไทยให้ทบทวนกระบวนการเสียใหม่ แต่เชื่อไหม? ว่าสิ่งที่น่าจะส่งผลต่อทิศทางของการพูดคุยเพื่อสันติภาพมากกว่าการเกิดเหตุ ความรุนแรง ก็คือ ความไม่ต่อเนื่องในฝ่ายของรัฐไทย
กล่าวได้ว่า รัฐประหารหนนี้นำไปสู่ความไม่แน่นอนในอนาคตของทิศทางการพูดคุยเพื่อสันติภาพ จนกระทั่งมีการประกาศยืนยันว่า การพูดคุยเจรจากับขบวนการฯ จะยังคงดำเนินต่อไป โดยปรากฏการที่ คสช. ได้เร่งรัดส่วนราชการที่รับผิดชอบให้รีบจัดทำแผนการพูดคุยเพื่อ สันติภาพ(เพื่อสันติสุข? -*- )ที่มุ่งเปิดพื้นที่การพูดคุยกับหลากหลายกลุ่มมากขึ้น และล่าสุดก็คือ การตั้งคณะกรรมการที่รับผิดชอบการพูดคุยฯ ขึ้นมาสานต่องานที่สะดุดหยุดลงมาพักใหญ่ โดยวางโครงสร้างกลไกอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม ข้อน่าเป็นห่วงสำคัญก็คือ ประเด็นที่กลุ่ม/ฝ่ายต่างๆ ที่เข้าร่วมกระบวนการนี้สามารถหยิบยกเสนอขึ้นเป็นวาระของการพูดคุยได้ มีขอบเขตได้แค่ไหน? จะประกอบด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
ที่ต้องถามเช่นนี้ก่อนมิใช่ประสงค์จะขัด แข้งขัดขาใคร แต่กระบวนการพูดคุยเซ็ตนี้มีความย้อนแย้งในตัวเองที่อาจทำให้ไม่สามารถบรรลุ เป้าหมายแห่งสันติภาพได้
ความย้อนแย้งนั้น คือการที่คณะผู้มีอำนาจประกาศจะเดินหน้าพูดคุยต่อ แต่ห้ามคุยเรื่องเขตปกครองพิเศษ .. มันทะแม่งๆ แปลกๆ ไหมครับ?
คือถ้าตัดประเด็นเรื่องนี้ออก จะให้พูดคุยกันเรื่องอะไรฮะ?
“เมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร” ..“ชาชักร้านไหนอร่อย”ให้คุยเฉพาะเรื่องอย่างเงี๊ยะหรือเปล่าเคอะ?
ถ้าตัดประเด็นเรื่องเขตปกครองพิเศษออกจากวาระพูดคุย และถ้าฝ่ายรัฐไทยเป็นผู้กำหนดขอบเขตการพูดคุยว่าจะ อนุญาต ให้ พูดหรือแสดงความเห็นในเรื่องใดได้บ้างแล้วล่ะก็ กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพก็ล้มเหลวแน่นอน ไม่ต้องเปลืองเวลาและเงินภาษีประชาชนไปสานต่อกระบวนการแบบนี้หรอกครับ
เอาเวลาไปตีกอล์ฟกับนายดีกว่า
ที่พูดแบบนี้ก็เพราะเป้าหมายของการพูดคุย เพื่อสันติภาพนั้น ในทางพื้นฐานความคิดมันไม่ได้อยู่ที่การมุ่งสร้างและใช้เวทีพูดคุยสำหรับ บรรลุความปรารถนาของฝ่ายตนแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือใช้เวทีพูดคุยสำหรับลอบบี้ เจรจาเหมือนกับต่อรองราคาสินค้ากัน
หากแต่เป้าหมายของการพูดคุยเพื่อสันติภาพ อยู่ที่การเข้าถึงความเข้าใจของฝ่ายที่คิดและปรารถนาไม่เหมือนกับเรา และสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อกันขึ้นมา เพื่อเป้าหมายของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายใด หรือบูรณภาพแห่งดินแดน
แม้ผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้กลุ่มต่างๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐไทยจะปรารถนาในสิ่งซึ่งขัดแย้งกัน แต่พื้นที่ของการต่อสู้ต่อรองเพื่อบรรลุความปรารถนาของฝ่ายตนอย่างไม่ต้อง ใช้ความรุนแรง เป็นที่เปิดกว้างสำหรับทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงได้เสมอ อย่างรูปธรรมที่สุดก็คือ พื้นที่ของการแสดงความคิดเห็น ถกเถียง สนทนาอย่างเสรีและปลอดภัย อันนี้ต่างหากที่ต้องกำหนดเป็นผลลัพธ์เป้าหมายของการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
———————————————
*ในบทความชิ้นนี้ ผมยังคงยืนยันใช้คำว่า “การพูดคุยเพื่อสันติภาพ” เพราะ “การพูดคุยเพื่อสันติสุข”เป็นคำที่ไม่มีความหมายทางทฤษฎี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จังหวะสานต่อการพูดคุยเพื่อสันติภาพ – จังหวะก้าวเขตปกครองพิเศษ (ตอนจบ)



