หน้าแรก บทความ

คิดถึง กปปส. ตอนที่ 2: .. กปปส. ในความทรงจำสีจางๆ

อากาศช่วงนี้มืดๆ ทึมๆ นะครับ ฟ้าครึ้มๆ ฝนตกโปรยปราย บรรยากาศดูเหงาๆ ชวนให้ระลึกถึงวันที่ล่วงเลยผ่าน อากาศแบบนี้ การเมืองแบบนี้ อดคิดถึงมวลมหาประชาชน พี่น้อง กปปส. ไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว

ผมลองนั่งระลึกย้อนความหลังที่ตนมีต่อกลุ่มขบวนการชุมนุมที่ถือว่ามีศีลธรรม สูงส่งที่สุดในแกแล็กซี่ ก็พบความทรงจำมากมายหลายเรื่องที่นึกถึงแล้วอดยิ้มเงียบๆ คนเดียวไม่ได้เลยล่ะครับ เพราะว่าตลอดระยะเวลา 6 เดือนกว่า ของการชุมนุมของพวกเขาพวกเขาได้มอบความมหัศจรรย์พันลึกหลายประการให้กับ สังคมไทย

เรื่องที่ไม่คิดว่าเกิดมาชาติภพนี้ ยุคสมัยนี้จะได้ยิน ได้เห็น ก็ได้ยิน ได้เห็น หลายเรื่องเหล่านั้นยังคงถูกบันทึกฝังตรึงประทับในรอยจำผมไว้อย่างติดแน่น เป็นภาพแห่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมากมาย ด้วยเหตุที่ผมติดตามการเคลื่อนไหวของ กปปส. มาตลอด และบางครั้งก็เอาตัวเข้าไปสาละวนอยู่ในที่ชุมนุมด้วย ทำให้ความทรงจำของผมต่อ กปปส. มีอยู่มหาศาล เท่าที่พอจะตัดมาเขียนเพื่อแบ่งปันความซาบซึ้งกับท่านผู้อ่านในเนื้อที่อัน จำกัดนี้ ผมได้หยิบยกมาแค่3เรื่องเท่านั้น ซึ่งก็น่าจะพอช่วยให้เราได้ทบทวนความมหัศจรรย์ของเหล่าบรรดาผู้เสียสละเพื่อ ชาติ ได้อ่านไปยิ้มไปอย่างพอสมควร

เรื่องแรกพี่ๆ กปปส. มักเน้นย้ำอย่างภาคภูมิเสมอว่าพวกพี่ๆ เป็นเพียงคนเสียงส่วนน้อยของสังคม แต่ เป็นเสียงส่วนน้อยที่มีคุณภาพ ต่างจากพวกเสียงข้างมากที่ไร้คุณภาพ ไม่มีดุลพินิจทางศีลธรรมเทียบเท่า กปปส. เรื่องนี้พี่ๆ ดูมีความภูมิใจและหยิ่งทระนงในความเป็นเสียงข้างน้อยที่มีคุณภาพกันมาก แต่ครั้นพอพี่ๆ นัดชุมนุมครั้งใหญ่กันทีไร กลับเถียงคอเป็นเอ็นกับคนอื่นเขาทุกทีว่าพวกพี่มากันเยอะ เป็นหลักแสน หลักล้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ประทับใจผมมาก เพราะพี่ๆย้อนแย้งในตัวเอง ดูอินดี้ดี

เรื่องที่สองพี่ๆ กปปส. ไม่ใช่แค่อินดี้กะโหลกกะลา แต่เป็นม็อบที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงจริงๆ อาร์ตมาก พาราด็อกซ์มาก ชนิดที่หากเปรียบเปรยแล้ว แนวทาง หลักการ และเป้าหมายการต่อสู้ของ กปปส.
ก็เปรียบได้กับภาพแนวแอบแสตร็ค(Abstract)ที่ผสมผสานความย้อนแย้งหลากประการเอาไว้ด้วยกัน กล่าวคือ

พี่ๆ เรียกร้องให้มีการปฏิรูปเพื่อขจัดปัญหาเผด็จการรัฐสภาของพวกเสียงข้างมาก พี่ๆ ต้องการล้มล้างระบอบเดิมที่มันเส็งเคร็ง แทบทุกหน่วยงานถูก“ซื้อตัว” ด้วย “ทุนสามานย์”ไปเสียหมด จนกลุ่มการเมืองเสียงข้างมากก่อตัวขึ้นเป็นเผด็จการที่ตรวจสอบทัดทานไม่ได้ และกำลังจะยึด ผูกขาดประเทศไทยไว้ในอุ้งมือกลุ่มทุนกลุ่มเดียว นำโดยคนบ้านชินวัตร ดังนั้นจึงต้องปฏิรูปล้างใหม่หมด

.. แต่ครั้น พอองค์กรอิสระชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรี และกลไกยุติธรรมของศาลตัดสินให้นายกฯ มีความผิด จำต้องพ้นตำแหน่งพวกพี่ๆ กลับแสดงความยินดีกันอย่างออกหน้าออกตาว่า “ดีใจที่ระบบตรวจสอบยังทำงานได้” .. ตกลงในทรรศนะของ กปปส. ระบบตรวจสอบยังทำงานหรือไม่ทำงานกันแน่ นี่จึงเป็น Abstractที่มิอาจตีความฟันธงออกมาเป็นรูปอะไรได้

.. อีกกรณีหนึ่ง พี่ๆ กปปส. ชูแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี และบอกว่าไม่ได้ต้องการล้มระบบเลือกตั้ง แค่ปรารถนาที่จะ“ดีท็อกซ์” ประเทศไทยเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริงในบั้นปลาย

.. แต่ครั้น พอมีใครออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับพี่ พี่ๆ ก็ด่าเขาสาดเสียเทเสีย ไล่สืบข้อมูลส่วนตัวเสียบประจานในสังคมออนไลน์ หรือกระทั่งที่ไปไล่ทำร้ายร่างกายคนอื่นก็เห็นอยู่หลายครั้ง ผมจึงอัศจรรย์ใจในการเคลื่อนขบวนของพวกพี่มากว่า วิธีปิดปากคนอื่นให้เงียบนั้นก็สามารถทำให้เกิดประชาธิปไตยได้เหมือนกัน นอกจากนี้ มันยังแสดงให้เห็นว่า พี่ๆ สามารถทำความเป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎีการเมืองให้ปรากฏได้จริง นั่นคือ การสามารถรวมเอาแนวทางต่อสู้แบบคานธีเข้าไว้กับแนวทางเคลื่อนมวลชนแบบ ฟาสซิสต์ได้สำเร็จ ภายใต้คำขวัญของ กปปส. ที่ว่า“สงบ สันติ อหิงสา (หมัดขวาตรง!!!)”

..ความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาาาาาากกกก ของ พี่ๆ กปปส. ยังปรากฏให้เห็นในเรื่องของเป้าหมายการต่อสู้ เริ่มต้นจากการประกาศว่าจะไล่รัฐบาลชั่วออกเมื่อยุบสภาแล้วจะหยุด ครั้นพอยุบสภาแล้ว ก็ประกาศใหม่ว่าจะขออยู่จนไล่นายกฯ ออก ครั้นพอนายกฯโดนคำสั่งออก พี่ๆ ก็ยังเคลื่อนกันอยู่ ตรงนี้แม้กระทั่งผมซึ่งว่าอินดี้แล้ว ก็ยังไม่อาจเข้าใจพี่ๆ ได้แม้แต่เสี้ยวความคิดว่า พี่จะอยู่กันถึงไหนกันแน่ สรุปว่าไล่ไปเรื่อยๆ หรือเปล่า ยิ่งกว่านั้นผมที่ติดตามพี่ๆ มาตลอดก็สังเกตเห็นว่า จังหวะรุกไล่แต่ละคืบที่สำเร็จมา ดูเหมือนพี่ๆ ไม่ต้องทุ่มแรงอะไรมากเลยนี่หว่าล้วนมีคนทำให้แทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะองค์กร อิสระและศาล

จึงน่าอัศจรรย์และเป็นคำถามที่หลายคนอาจ สงสัยว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว พี่ๆ กปปส. เขาอยู่กันทำไม ทำไมไม่แยกย้ายกลับบ้านกลับช่องไปเสียให้ไม่ขวางทางสัญจรคนอื่นเขา เรื่องนี้ผมขออนุญาตแก้ต่างให้แทนเลยนะครับ แม้ผมจะไม่เข้าใจก็ตาม แต่พอลองคิดดูว่า กลุ่มคนที่อินดี้ ย้อนแย้ง มีความเป็นตัวเองสูงมว่ากอย่างพี่ๆ จะคิดกันแบบไหน ผมก็พอจะนึกภาพออกฮะว่า พี่ๆ กปปส. คงต้องการแสดงให้สาธารณะได้ตระหนักในปรัชญาแห่งชีวิตข้อสำคัญตามวิถีทางแบบ เซน นั้นคือการเป็นม็อบที่อยู่เพื่ออยู่ และการกระทำก็คือเป้าหมายในตัวเองอย่างแท้จริง

และความสำเร็จอย่างเดียวที่เกิดจากการลงมือ ทำจริงๆ ของพวกพี่ ไม่ได้ไปเซ่นไหว้ศาล ขอร้องกราบกรานทหารให้ทำให้ ก็คือ พี่ๆ ประสบความสำเร็จในการห้ามคนทั่วไปย้ายกรวยของพวกพี่

ข้อนี้ก็เป็นปรัชญานะครับ กปปส. กำลังสอนพวกเราว่า ความพยายามอยู่ที่มนุษย์ ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า ลำพังพลังของมนุษย์ ทำสำเร็จแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว

.. ขอบคุณที่สอนผมให้เข้าถึงปรัชญาชีวิตนะครับพี่ๆ ผมได้อะไรเยอะมากทีเดียว

เรื่องที่สามอันเป็นเรื่องสุดท้ายพี่ๆ สมาชิก กปปส. ที่เป็นชนชั้นกลางย่านกรุงเทพเมืองฟ้าอมร ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า“นวัตกรรมใหม่ของการชุมนุม”ให้กับโลกเอาไว้ นั่นคือ การชุมนุมแบบออนไลน์บนหน้าวอลล์ตนเองในเฟซบุ๊ค ทุกคนเสมือนได้ขึ้นไปยืนกล่าวปราศรัยบนเวทีแล้วมียอดผู้ชมตามจำนวนคนที่คลิก ไลค์ พี่ๆ สอนให้เห็นว่า การชุมนุมนั้นไม่เหนื่อยอย่างที่คิด ไม่ต้องตากแดดตากฝนอดทนกลางท้องถนนหยาบกร้าน ซึ่งหน้าที่นี้โยนขี้ให้พวกรากหญ้า เอ็นจีโอคลั่งอุดมการณ์ หรือพี่น้องภาคอื่นที่ยกโขยงกันมาเขาทำไป

สถานที่ชุมนุมหลักของ กปปส. ชนชั้นกลางกรุงเทพฯ คือ หน้าจอคอมพิวเตอร์และบนมือถือ ว่างๆ อาจจะเดินแวดไปที่ชุมนุมจริงบนท้องถนนบ้างเพื่อเสพย์บรรยากาศให้เกิดความอิน คาบนกหวีดเซลฟีตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ก็อปคำพูดสักประโยคหนึ่งของผู้ปราศรัยมาตั้งสเตตัสเฟซบุ๊คแล้วเช็คอินสถาน ที่ชุมนุมแต่พองาม กินเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แล้วก็หลบร้อนไปนั่งจิบสตาร์บั๊ค แต่งรูปที่เซลฟีไว้ลงอินสตาแกรม

..เห็นไหมครับ พวกพี่แสดงให้น้องๆ เยาวชนเห็นเป็นแบบอย่างแล้วว่า การเข้าร่วมม็อบไม่ยากลำบากอย่างที่คิด ไม่เหนื่อยหรอก มาเถอะ เพื่อชาติ

พี่ๆ ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงทฤษฎีการเมืองประการสำคัญขึ้นอีกข้อหนึ่ง ก็คือ การเปลี่ยนแนววิธีการต่อสู้ทางการเมืองจากSocial Movement ไปเป็นนวัตกรรม คือ แนววิธีการต่อสู้แบบSocial Event

ทั้งหมดนี้คือความทรงจำสีจางๆ ที่ผมมีเกี่ยวกับการชุมนุมอันทรหดมาราธอนของพี่ๆกปปส.

ฝนซาลงแล้ว ผมคงต้องหยุดเขียนเท่านี้และเดินทางกลับบ้านเสียที ก่อนที่กลุ่มเมฆทะมึนซึ่งก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าไกลลิบ จะแตกตัวตกมาเป็นฝนรอบใหม่อะไรที่อยากแลกเปลี่ยนกับผม หรือผมจำผิดไป ก็คงไม่มีเวลาคุยกันตอนนี้หรอกครับ เอาเป็นว่า ผมเขียนอะไรไป ก็“รับๆ ไปก่อนเถอะ ไว้ค่อยแก้ทีหลัง”เห็นชอบแบบนี้กันนี่ครับ

ไว้พบกันใหม่ถ้าไม่จำเป็น