เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักคำว่า “มนุษย์ลุง” และ “มนุษย์ป้า” กันมาบ้างแล้วนะครับ แม้จะยังไม่ปรากฏคำจำกัดความว่า คนประเภทใดหรือพฤติกรรมแบบใดบ้างจัดอยู่ในความหมายของมนุษย์ 2 จำพวกดังกล่าว แต่หลายคนก็คงรู้สึกต่อพวกเขาเหล่านั้นแบบเอือมๆ
กระนั้นก็ดี เชื่อไหมฮะว่ามีอีกสิ่งที่น่าเอือมระอาเสียยิ่งกว่ามนุษย์ป้ากับมนุษย์ลุง มันคือ ภัยเงียบที่ค่อยๆ ทำลายสุขภาวะทางสติและเหตุผลของสังคมไทยจนอาจนำไปสู่ปัญหาความมั่นคงของ มนุษย์ได้ในระยะอันใกล้นี้ ภัยนั่นคือ “มนุษย์ไทย”
มนุษย์ไทย คือ คนอีกจำพวกหนึ่งที่แอดวานซ์กว่ามนุษย์ลุงกับมนุษย์ป้า และบางที 2 จำพวกหลังก็เป็นเพียง subset ย่อยอยู่ข้างในมนุษย์ไทยอีกที
อริยบุคคลที่ผมพอจะจัดวางไว้ในหมวดหมู่จำพวก “มนุษย์ไทย” ได้นั้น เห็นจะมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน 5 ประการเป็นอย่างน้อย ดังนี้
1. วิธีคิดต่อความแตกต่างหลากหลาย
โดยพื้นฐานวิธีคิดของบรรดา “มนุษย์ไทย” ต่อสรรพสิ่งรอบตัว จะไม่เหมือนมนุษย์ปกติ “มนุษย์ไทย” ไม่เพียงมองว่า อะไรเหมือน อะไรต่างจากตนเท่านั้น แต่จะให้ความสำคัญกับการตัดสินว่า “อะไรบ้างเป็นพวกพ้อง อะไรบ้างเป็นศัตรู”
เกณฑ์ดังกล่าวมักจะพิจารณากันจากเรื่องที่ ว่า สิ่งรอบๆ ตัวพวกเขาที่แตกต่างไปนั้น มีท่าทีสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ไทยกรุงเทพฯ ของพวกเขาอย่างไรบ้าง
ถ้าสิ่งใดทำตัวกลมกลืนหรืออ่อนน้อม “สยบยอม” ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
แต่ถ้าสิ่งใดทำตัวกังขา ตั้งคำถาม วิพากษ์ หรือไม่ปฏิบัติตามร่องตามรอยแนวเดียวกับอัตลักษณ์ไทยกรุงเทพฯ ของพวกเขา ก็นับเป็นศัตรู
เมื่อเป็นพวกพ้อง ก็รักษาปกป้องแม้จะผิดถูกก็ช่างหัวมัน เพราะถือว่าเป็น “คนของเรา” ส่วนใครที่จัดเป็นศัตรู ก็มุ่งหมายประสงค์กำจัดขับไล่ให้มลายสูญ “ด้วยวิธีอะไรก็ได้” เป้าหมายย่อมอยู่เหนือกติกา
ดังนั้น ฝรั่งเที่ยวบาร์ที่พัทยา กับฝรั่งทำนาใช้ชีวิตอยู่ที่อีสาน จึงมีคุณค่าสูงต่ำไม่เท่ากัน
ดังนั้น “มนุษย์ไทย” จึงตัดสินปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมไทยกับสังคมภายนอกบนฐานของการดูว่า ใครเป็นพวก ใครมิใช่พวก มากกว่าจะพิจารณาจากเหตุผล ข้อเท็จจริง
พวกเขายอมรับในความแตกต่างหลากหลาย ตราบเท่าที่ความแตกต่างหลากหลายเหล่านั้น ทำตัวผสานกลมกลืนเข้าหา หรือสยบยอมให้กับอัตลักษณ์ของพวกเขา เท่านั้น เพราะลึกๆ แล้วบรรดา “มนุษย์ไทย” ล้วนเป็นโรคขยาดกลัวและหวาดระแวงสิ่งที่จะไม่ใช่ไทยอย่างสุดโต่งและไร้ เหตุผล (Not Thai-phobia)
2. โรคขยาดกลัวและหวาดระแวงสิ่งที่จะไม่ใช่ไทย (Not Thai-phobia)
แง่หนึ่ง โรคนี้มีรากมาจากความไม่ชัดเจนและ “กลวงเปล่า” ของอัตลักษณ์ไทยกรุงเทพฯ เอง แก่นแกนของความเป็นไทยล้วนถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นจากอัตลักษณ์และอารยธรรมอื่น ทั้งสิ้น เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ก็ด้วยการใช้อำนาจรัฐยัดลงมาผ่านแบบเรียนของกระทรวง ศึกษาฯ และการทำงานของกลไกเชิงวัฒนธรรมของรัฐก็เท่านั้น
ถ้าจะไล่ดูทีละเรื่อง ทั้งชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย ล้วนไม่มีอันใดเป็นไทยแท้ นำเข้าจากที่นู่นที่นี่มาตัดต่อเข้าด้วยกันทั้งสิ้น ซ้ำประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาติไทยเองก็เป็นนิยายเสียเกินครึ่ง
และถ้ามองกันตามจริงแล้ว จะเห็นว่า แท้จริงแล้ว ความเป็นไทยมีลักษณะพหูพจน์ที่หลากหลายและอยู่ร่วม มากกว่าจะเป็นเอกพจน์ที่มีเอกภาพหนึ่งเดียว พื้นถิ่นบริเวณต่างๆ มีการพัฒนาอัตลักษณ์วิถีเฉพาะของตนมาอย่างยาวนาน และมีปฏิสัมพันธ์รวมตัวกันอย่างหลวมๆ
ความเป็นไทยหนึ่งเดียวเพิ่งถูกสร้างขึ้นใน ยุคไม่นานมานี้เอง เพื่อมัดรวมผู้คนซึ่งแตกต่างหลากหลายเข้ามาอยู่ใต้อุดมการณ์เดียวกันในกรอบ รัฐชาติ
ข้อเท็จจริงข้อนี้ปรากฏชัดขั้นเรื่อยๆ ในยุคปัจจุบัน แต่ครั้นจะยอมรับ ก็ย่อมทำให้คนจำพวก “มนุษย์ไทย” รู้สึกถูก “แขวนลอย” หาหลักยึดแห่งตัวตนของตนเองมิได้ ดังนั้น พวกเขาจึงหวาดระแวงต่อการปรากฏตัวขึ้นในสังคมไทยของสิ่งที่ไม่ใช่ไทยตามแบบ เรียน และมุ่งกำจัดมันทิ้ง
เพื่อรับประกันว่า ความเป็นไทยในจินตนาการของเขาจะยังดำรงอยู่อย่างสถาพร และเป็นเกราะคุ้มกันทางจิตใจ/จิตวิญญาณให้พวกเขาไม่รู้สึกเปล่าเปลี่ยวใน สังคมสมัยใหม่ซึ่งอุดมไปด้วยปัจเจกชน คนแปลกหน้า และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ในสังคมแบบนี้ ความชัดเจนของความเป็นไทยจะเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้พวกเขายังคงรู้สึกมีเพื่อน พ้อง ไม่อ้างว้างได้บ้าง ผ่านการสะกดจิตตนเองว่า บรรดาคนแปลกหน้าที่ผ่านทางเหล่านั้น ล้วนเป็นพี่น้องคนไทยเหมือนกัน และผลิตซ้ำด้วยพิธีกรรมรวมหมู่เป็นครั้งคราว เช่น การแข่งขันฟุตบอลทีมชาติ
3. การกำจัดสิ่งแปลกปลอม
ประการต่อมา คือ “มนุษย์ไทย” มีวิธีจัดการกับสิ่งที่ไม่ใช่ไทยอยู่แบบเดียว นั่นคือ “การกำจัด” เพราะพวกเขาตั้งหลักจากการมองว่า ความเป็นไทย คือ สิ่งที่ดีสุดยอดที่สุดในโลกแล้ว และขึ้นชื่อว่าอยู่ในสังคมไทยแห่งนี้ หากมีสิ่งอื่นสิ่งใดยังไม่เป็นไทยเกิดขึ้นได้ หรือยังมีสิ่งที่ไม่พอใจในความเป็นไทยอันดีสุดยอดนี้อีก ก็นับว่าประหลาดแท้ เป็น “สิ่งแปลกปลอม” ที่เกินเยียวยาแล้ว ดังนั้น การกำจัด จึงเป็นวิธีการเดียวที่คิดได้ กับสิ่งไม่ใช่ไทยเหล่านั้น
ปัญหาคือ บังเอิญที่ปฏิบัติการของพวกเขามันเสือกดำเนินไปในบริบทที่สิ่งไม่ใช่ไทย คือ สิ่งส่วนใหญ่ของโลก ส่วนสิ่งที่เป็นไทย นับไปนับมาแล้ว เหลืออยู่นิดเดียว แค่ความหนาของแบบเรียนกระทรวงศึกษาฯ ที่พวกเขาอ่านกัน เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ในความพยายามปกป้องความเป็นไทยอันไร้รากดังกล่าว พวกเขาจึงมีความเบี่ยงเบนทางจิตวิทยาที่ต้องการการยอมรับจากสิ่งที่ไม่ใช่ ไทยเข้ามาผสมไว้ในความปรารถนาลึกๆ อยู่ด้วย
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ เพราะถ้าว่ากันตามตรง ลักษณะดังกล่าวจัดเป็นอาการป่วยทางจิต ที่จะดีกว่า หากได้รับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ (ในวงเล็บว่า ในโลกตะวันตก อาการป่วยทางจิตไม่ใช่เรื่องน่าอาย และคนปกติจำนวนมากก็เข้าขอรับการปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว)
เนื่องด้วยปัญหาที่เกิดในระดับจิตดังกล่าว ปฏิบัติการปกป้องความเป็นไทยของ “มนุษย์ไทย” จึงดูเหมือนเป็นเรื่องตลกน้ำตาเล็ด (Big Joke) อยู่หลายครั้งในสายตาต่างชาติ
ในทางการเมือง “มนุษย์ไทย” คือ กลุ่มคนจำพวกที่เรียกร้องขับไล่ทักษิณ ชินวัตรให้ไร้แผ่นดินอยู่ แต่พอทักษิณทะลึ่งออกจากแผ่นดินไทยไปจริงๆ “มนุษย์ไทย” กลับประสงค์เรียกร้องให้ทักษิณกลับมารับการดำเนินคดี เช่นเดียวกับการไล่กลุ่มคนอย่างตั้ง อาชีวะออกนอกประเทศ พอเขาออกประเทศจริงๆ ดันอยากให้เขากลับมารับการดำเนินคดี อย่างนี้เป็นต้น
มันย้อนแย้งพิลึกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้บ้างอยู่ในทีใช่ไหมครับ นี้จึงอาจนับได้ว่า “มนุษย์ไทย” นั้น ก็มีแง่มุมของความเป็น “ฮิปสเตอร์” อยู่ในตัวเหมือนกัน มากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับความฮิปส์รายบุคคล
อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ท่านผู้อ่านเริ่มรู้สึกว่าตนเป็น “มนุษย์ไทย” ขึ้นมาบ้างแล้วหรือยังครับ ถ้ายัง ก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ถ้ารู้สึกขึ้นมาหน่อยๆ บ้างแล้ว ก็ขอแนะนำให้ไปรับยาที่ช่อง 2 แล้วกลับมาอ่านต่อ ตอนจบ ในโอกาสต่อไปนะครับ อย่าเพิ่งพลั้งมือทุบคอมพิวเตอร์พังเสียก่อนนะครับ อิอิ