เขียนโดย : สุภาพร ศิริรุ่งสกุลวงศ์
เมื่อสมัยฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ ฉันยังจำได้ บ้านฉันอยู่ที่บ้านใหม่ ใน ต.สุไหงปาดี อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ยังไม่มีไฟฟ้า เป็นถนนลูกรัง เป็นหมู่บ้านที่ทุรกันดารมาก พระองค์ท่านทรงเสด็จเยี่ยมที่หมู่บ้านฉันทุกปี ไม่เคยเว้น บางปีเสด็จ 4 รอบ ฉันไม่เข้าใจมากนักว่าพ่อหลวงเสด็จมาทำอะไร รู้แต่ว่าเมื่อพระองค์ท่านจะมาที่หมู่บ้านฉัน แม่ฉันจะกุลีกุจอไปรับเสด็จทุกครั้ง และจะหาต้นไม้คือ ต้นย่านลิเภานำถวายพระองค์ท่าน ซึ่งฉันคิดว่าต้นไม้ชนิดนี้ แม่จะเอาไปถวายทำไม ในเมื่อมันขึ้นเต็มตามหลังบ้าน หลังโรงเรียน ตามสวนยางพาราที่เกะกะ
ในภาพนี้ น่าจะประมาณเมื่อ 32 ปีที่แล้ว พระองค์ท่านทรงเสด็จมาเยี่ยมชมผลงานที่ก่อนหน้านั้น พระองค์ท่านได้ทรงเสด็จมาสร้างฝายทดน้ำในหมู่บ้านสุไหงใน ต.สุไหงปาดี อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เป็นต้นน้ำที่จะกระจายน้ำไปหล่อเลี้ยงเรือกสวนไร่นา สวนยางพารา นาข้าว ต่อไป พื้นที่ตรงนี้ด้านหลังของฉันในภาพ มันคือสระน้ำอันสวยหรูที่ฉันกับเพื่อนๆ มักมาเล่นน้ำกันเป็นประจำ
อีกที่ ที่ใกล้บ้านฉันที่แม่ฉันเล่าให้ฟังหลายรอบคือ โครงการป่าพรุโต๊ะแดง แม่บอกว่า วันนั้นแม่กำลังกวาดเศษใบไม้อยู่หน้าบ้าน นายอำเภอสมัยนั้นมาบอกแม่ว่า ให้ไปป่าพรุโต๊ะแดง “ในหลวงเสด็จ” ซึ่งแม่จำไม่ได้ว่าแม่ได้อาบน้ำหรือไม่ เพราะไม่มีใครทราบว่าท่านจะเสด็จมาป่าพรุโต๊ะแดง แม่รีบมากเพราะจวนเวลาเต็มที แม่ได้ตามในหลวงและสมเด็จพระราชินีฯ ลงป่าพรุ แม่ใส่ชุดลูกเสือชาวบ้าน ในหลวงทรงแยกกลุ่มลงป่าพรุเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีในหลวงและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี กลุ่มที่ 2 มีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามกุฎราชกุมาร ทรงเสด็จลงป่าพรุ คนละฝั่ง
ถึงตอนนี้ฉันถามแม่ว่า แล้วฉันได้ลงไปกับแม่ไหม แม่บอกว่า ฉันไม่ได้ลง ฉันอยู่บนฝั่ง เพราะแม่ไม่ให้ฉันลง ฉันยังเด็กเกินไป และมันอันตรายเกินไป เพราะทางที่เดินเป็นน้ำสีดำมาก มองไม่เห็นพื้นใต้น้ำเลย ไม่รู้ว่าจุดไหนน้ำจะลึก น้ำจะตื้น ใต้น้ำเป็นดินเลน ทางเดินก็เป็นป่า ระหว่างทางที่ย่ำลงน้ำ ต้องให้ชาวบ้านผู้ชายคอยถางป่าข้างหน้าและเดินไปเรื่อยๆ มันเหมือนลักษณะป่าดงดิบก็ว่าได้ แต่แย่กว่าป่าดงดิบด้วยซ้ำ ที่พื้นมีน้ำ เดินไปบางทีก็ถึงเอว บางจุดเดินย่ำไปดินเลนถึงหัวเข่า บางจุดน้ำเกือบถึงหน้าอก
แม่ให้ฉันรออยู่บนฝั่ง และยังมีประชาชนชาวบ้านอีกมากที่รอบนฝั่ง ฉันถามแม่ต่อว่า แล้วทำไมในหลวงถึงไม่เดินไปพร้อมกันทั้ง 4 พระองค์ ในเมื่อมันอันตรายขนาดนี้ แม่บอกว่า ในหลวงมาครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพระองค์ท่านทรงมาดูพื้นที่และกลับไปพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ (ตั้งอยู่ใน อ . เมือง จ. นราธิวาส) วันต่อมาพระองค์ท่านเสด็จอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทั้ง 4 พระองค์ทรงเดินลุยน้ำและลุยป่าพรุ การที่พระองค์ท่านแบ่งเป็น 2 กลุ่มนี้ แม่คิดว่าพระองค์ท่านทรงต้องการสำรวจพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเพราะพื้นที่กว้างมาก ต้องการสำรวจดิน สำรวจป่า สำรวจน้ำว่าพื้นที่ตรงนี้สามารถทำไร่ ทำนาได้หรือไม่ (ฉันมาทราบทีหลังว่าป่าพรุโต๊ะแดงปัจจุบันมีพื้นที่ 125,000 กว่าไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ เป็นดินเลนทะเล มีส่วนประกอบของกำมะถัน)
ในการเดินลุยป่าครั้งนี้แม่ติดตามกลุ่มของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามกุฎราชกุมาร แม่เล่าว่า พอลงลุยน้ำในป่าพรุโต๊ะแดง แม่เดินติดตามเสด็จไม่ได้ห่างพระองค์ท่านมากนัก และดินที่เหยียบลงไป มันทำให้เท้าของแม่และทุกคนจมดินเลนลงไปอีกถึงหัวเข่า ระดับน้ำก็ถึงสะโพกบ้าง ถึงเอวบ้าง พากันเดินอย่างทุลักทุเล
มาถึงตอนนี้ฉันนึกในใจ ทำไมพรองค์ท่านทรงเดินกันขนาดนี้เลยเหรอ น้ำก็สีดำ มองไม่เห็นพื้นที่เหยียบลงไปเลย ด้านล่างจะมีไม้แหลม หรือสัตว์อันตรายบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แม่เล่าว่า เมื่อเดินกันไปสักพักเจ้าหน้าที่ติดตามพระองค์ท่านที่คอยถือแขนพยุง เท้าก็ติดดินเลนถึงหัวเข่า ก็พยุงหรือดูแลพระองค์ท่านไม่ได้ เพราะตัวเองก็แทบเอาไม่อยู่ เมื่อแม่เห็นว่าต่างก็ทุลักทุเล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเดินพระองค์เดียว แม่จำไม่ได้ว่าแม่พูดอย่างไร ถึงตอนนี้แม่ยิ้มและเล่าว่า แม่ไปจับเอวถือแขนสมเด็จพระบรมราชินีนาถเพื่อที่จะคอยช่วยพระองค์ท่านให้เดินสะดวกมากขึ้น พระองค์ท่านก็ไม่ทรงรังเกียจ เดินไปยังเล่าให้แม่ฟังว่า นี่น้าท่าน นี่หลานชายท่าน แม่เล่าว่า ตัวท่านหอมมาก หอมไปทั่วผืนป่า เมื่อเดินไปเจอขอนไม้ใหญ่มาก ต่างก็หยุดนั่งพัก แม่ก็ได้นั่งพักบนขอนไม้เดียวกับพระองค์ท่าน
แม่เล่าต่อว่า แม่ได้ถามพระญาติของท่านว่าทำไมใส่กางเกงสีขาวมาเดินลุยป่าพรุ พระญาติท่านตอบว่า “หนูจ๋า พี่ยังไม่รู้เลยว่าพระองค์ท่านจะเสด็จมาที่นี่” มาถึงตอนนี้ ฉันยิ่งสงสัยใหญ่ว่าทำไมแม้กระทั่งพระญาติของพระองค์ท่านถึงไม่รู้ว่าจะเสด็จมาที่นี่ แม่เล่าว่า ท่านอยากเห็นความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชน ถนนหนทาง ต้นไม้ บ้านเรือน ไม่ใช่เตรียมไว้เฉพาะหน้าเมื่อพระองค์ท่านเสด็จเท่านั้น มาถึงตอนนี้ ฉันเริ่มน้ำตาซึม
และเมื่อเดินกลับมาถึงฝั่ง แม่เล่าว่าพระญาติของท่านได้ลื่นล้ม พลันมาจับแม่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พากันล้มตามกันไป ต่างก็หัวเราะขบขัน ไม่มีอาการเหนื่อยแต่อย่างไร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทรงตรัสแซวพระญาติประมาณว่า ทำลูกเสือชาวบ้านของท่านล้มไม่ได้นะ ที่ตรงนั้นก็มีแต่เสียงหัวเราะกัน ทั้งที่ทุกคนเหนื่อย เสื้อผ้าเปียกปอนสกปรกกันหมด และก่อนจะแยกย้ายพากันกลับ ทางผู้ติดตามยังได้แจกซองเงินให้กับชาวบ้านทุกคนที่ตามเสด็จลุยป่าและชาวบ้านที่อยู่บนฝั่ง พระองค์ท่านแจกซองเงินทุกคน ทั้งแม่และพี่ชายฉันก็ได้รับซองเงินกันทุกคน แต่ดูเหมือนชาวบ้านไม่อยากรับและทางผู้ติดตามก็ให้รับซองเงินกันทุกคน (ฉันน้ำตาซึมอีกแล้ว) แม่เล่าต่อว่า พ่อได้มาบอกแม่ว่า ทางผู้ติดตามอยากได้พันธุ์ต้นลิเภา ถ้าหาได้อยากให้นำมาถวายที่โรงเรียนบ้านปะลุรู เพราะพระองค์ท่านจะเสด็จที่นั่นอีก ซึ่งมันยิ่งใกล้บ้านของฉันมาก
เมื่อถึงวันที่พระองค์ท่านเสด็จ พ่อกับแม่ได้ไปขุดต้นลิเภาที่ติดรากใส่ลังรอเตรียมถวาย เมื่อไปถึงโรงเรียน แม่บอกเจ้าหน้าที่ว่ามาถวายต้นลิเภา แต่ก่อนที่ท่านจะเสด็จ ฉันงอแงพ่อกับแม่ (ฉันจำได้แม่นยำ)ให้พาฉันไปหลังโรงเรียน ไปถอนย่านลำเภามาถวายพระองค์ท่านด้วย เพราะฉันเห็นเพื่อนฉันหลายคนมีย่านลิเภามาถวาย พ่อกับแม่บอกไม่ทันแล้ว และย่านลิเภาจะถวายต้องปอกไส้ในมันออกก่อนทำเป็นเส้นๆ ให้เรียบร้อย แต่ฉันไม่ยอม ร้องไห้ พ่อจึงพาฉันวิ่งไปหลังโรงเรียน รีบถอนย่านลิเภาซึ่งมีมากมาย และก็มามัดได้ไม่มากนัก เป็นมัดเล็กๆ เท่านั้น
ฉันจำได้แม่น ครั้งนั้น พ่อ แม่ และฉัน นั่งแถวหน้าสุดเป็นแถวเฉพาะคนถวายสิ่งของเท่านั้น เมื่อในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมาถึง พระองค์ท่านก้มตัวนั่งยองๆ ตรงหน้าพ่อกับแม่ฉัน ฉันใจสั่น ตื่นเต้นมาก พระองค์ท่านถามแม่ว่า “นี่ลูกสาวเหรอจ้ะ มีลูกกี่คน ทำอาชีพอะไร“ แม่บอกตอนหนึ่งว่า แม่เล่าพระองค์ท่านว่า พ่อฉันไม่ค่อยสบาย ทำงานไม่ค่อยได้ เป็นโรคกระเพาะรุนแรงและเป็นโรคริดสีดวง พระองค์ท่านบอกจะเสด็จบ้านเจาะวา (ก็ยิ่งใกล้บ้านฉันเข้าไปอีก) และมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาด้วย ให้พาพ่อไปตรวจเบื้องต้นที่นั่น เมื่อแม่ถวายต้นลิเภาเสร็จ พระองค์ท่านยื่นซองให้พ่อ 1 ซอง แม่ฉัน 1 ซอง และฉันอึก 1 ซอง แม่ปฎิเสธที่จะรับซอง เพราะแม่คิดว่า ต้นลิเภา มันเหมือนวัชพืชที่ไม่มีค่าอะไรเลย จะรับเงินพระองค์ท่านได้อย่างไร แต่สมเด็จพระราชินีทรงตรัสว่า “ของพระราชินีให้ ต้องรับสิจ้ะ”
ทั้งพระญาติผู้ติดตาม ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน “รับเลยจ้ะ รับเลยน่ะ” เมื่อพ่อกับแม่ กลับมาบ้านมาเปิดซองดู แม่พูดไม่ถูก แม่บอกว่ามันมากมายจริงๆ ส่วนฉันที่ได้รับซองเช่นกันเพราะถวายย่านลิเภานิดเดียว (ฉันรู้สึกว่าตัวเองแย่จัง) ดีใจมาก แม่พาฉันนำเงินนี้ไปเปิดบัญชีฝากธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นครั้งแรกของฉันที่มีเงินเยอะขนาดนี้
เมื่อถึงวันที่พระองค์ท่านเสด็จบ้านเจาะวา แม่กับพ่อก็นั่งอยู่แถวหน้า แม่เล่าว่า ท่านจะจำได้เหรอ คงจำไม่ได้แน่ๆ แต่เมื่อมาถึงตรงหน้า ท่านทักแม่ “เจอแล้ว นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว” ทันใดนั้น แพทย์ที่ติดตามมาหลายคน ต่างมาดูพ่อ ตรวจอาการเบื้องต้น ซักถามอาการและแพทย์ได้บอกให้พ่อไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลนราธิวาส ซึ่งอยู่ในอำเภอเมือง แพทย์จะทำการส่งตัวไปที่นั่น ต่อมาถึงช่วงฤดูกาลและวันเวลาที่ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จกลับไปกรุงเทพ (ซึ่งการเสด็จมาประทับภาคใต้ ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ในช่วงเดือนสิงหาคมและตุลาคม ของทุกปี)
ซึ่งตอนเด็กฉันคิดว่า ดีจัง พระองค์ท่านมีบ้านพักตากอากาศทั่วทุกภาค แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ท่านเสด็จทรงงาน พระตำหนักคือที่ทำงานของท่านที่จะเสด็จลงพื้นที่ดูประชาชนทั่วทุกภาคนั่นเอง
ในส่วนของแม่ที่ต้องพาพ่อไปรักษาที่ รพ. นราธิวาส ซึ่งได้กลายเป็นคนไข้ของในหลวงที่ท่านทรงรับดูแล แม่เล่าว่า เพื่อนบ้าน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระองค์ท่านเสด็จกลับกรุงเทพฯ แล้ว ไม่มีใครมาสนใจรักษาเราหรอก ซึ่งแม่บอกว่า แม่ก็แอบคิดเช่นนั้น แต่หลังจากแม่พาพ่อไป รพ.กลับไม่เป็นเข่นนั้น เมื่อแจ้งชื่อ นามสกุล พยาบาลทักเลยว่า “อ้าวมาแล้ว รออยู่” และดูแลพ่อ รักษาอาการจนดีขึ้น เป็นอย่างดีมากๆ ผิดกับการคาดการณ์ของเพื่อนบ้านโดยสิ้นเชิง ในส่วนย่านลิเภา แม่เล่าว่า ท่านให้ชาวบ้านที่สนใจ จัดส่งย่านลิเภาเข้ากรุงเทพฯ ทุกเดือน และชาวบ้านได้ทำเป็นอาชีพมากมาย
สำหรับฉัน เมื่อเรียนถึงระดับชั้น ม.4 ฉันได้เปลี่ยนโรงเรียน ไปอยู่กับน้าในอำเภอเมือง ระหว่างบ้านกับโรงเรียนไกลพอสมควร ฉันขอแม่ซื้อรถจักรยาน แม่ฉันไม่มีเงินมากนัก จึงไปถอนเงินฝากที่ได้จากในหลวงและสมเด็จพระราชินี ซื้อจักรยานหญิงปั่นไปโรงเรียนจนถึง ม.6