ดูเหมือนว่าปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้บรรเลงไฟสงครามอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ มกราคม 2547 จนถึงวันนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่า ปัญหาด้านความมั่นคงในหัวเมืองภาคใต้ที่ก่อกำเนิดขึ้นมานานนับศตวรรษจะทุเลาเบาบางลงในเร็ววัน จะว่าไปแล้วความพยายามของรัฐบาลไทยถือว่ามีความพยายามมุ่งมั่นเช่นเดียวกัน ที่ได้นำมาตรการต่างๆ ในการยับยั้งความรุนแรงที่ได้เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลทางการเมือง
จากปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรูปแบบการก่อความไม่สงบหรือที่เรียกกันว่า สงครามอสมมาตร ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งว่ากันว่านั่นเป็นการดำเนินการต่อสู้ทางการทหารของขบวนการต่อสู้ปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานีหรือบีอาร์เอ็น ตามสารบบของความมั่นคงไทย ที่จนถึงวันนี้ความเชื่อที่ว่าขบวนการดังกล่าวถือเป็นแม่งานหลักในการก่อเหตุรุนแรงตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมายังไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มต่างๆ อีกหลายกลุ่มที่ยังคงมีลมหายใจขับเคลื่อนไปตามประสาและยถากรรมของแต่ละกลุ่ม ทว่าขบวนการที่มีความแข็งแกร่งที่สุดเห็นจะเป็นขบวนการบีอาร์เอ็นเท่านั้น
นับตั้งแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนวันนั้น บรรดากลุ่มคนมลายูมักจะตกเป็นเป้าจับกุมของเจ้าหน้าที่โดยปริยาย ทว่าสองสามปีก่อนหน้านั้น สังคมมลายูปาตานีได้ตกอยู่ภายใต้ภวังค์แห่งความหวาดกลัวในความรู้สึก กล่าวคือในช่วงดังกล่าวจะเกิดการจับกุมอุ้มหายอย่างเงียบๆ อยู่บ่อยครั้งและถี่มาก ซึ่งทำให้ผู้คน ณ ตอนนั้น เสมือนตกอยู่ในอุ้งหัตถ์ของผู้ปกครองที่อธรรม ที่คอยจับกุมผู้ต้องสงสัยอย่างเงียบๆ ราวมีข้อมูลที่ชัดเจน หรืออาจเป็นการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นลมก็เป็นได้ตามความเข้าใจของหน่วยงานด้านความมั่นคง
ในเมื่อรัฐบาลก่อนหน้านั้น ล้วนเข้าใจว่าปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดจากตัวบุคคล มิได้มาจากการตกผลึกของชุดความคิดแบบอุดมการณ์ตามที่กำลังเป็นอยู่ ณ วันนี้ไม่แต่อย่างใด ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ณ ขณะนั้น ล้วนดำเนินการมาตรการการตัดไฟแต่ต้นลม ตัดทอนตัวบุคคลที่รัฐเชื่อว่าอาจเป็นตัวแปรหลักในการเคลื่อนไหวที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งรัฐ
เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์การปล้นปืนใหม่ๆ ก่อนที่จะมีการปล้นปืนอย่างขนานใหญ่ ที่ค่ายปิเหล็ง จังหวัดนราธิวาส รัฐบาลจึงเชื่อว่าเป็นเพียงกองกำลังเพียงไม่กี่กลุ่ม ที่อาจเกี่ยวโยงกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งมันก็น่าจะมีความเป็นไปได้เช่นกัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ทว่าในเมื่อเหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เสมือนกับว่า มันไม่ใช่กลุ่มอิทธิพลธรรมดา อย่างที่อดีตนายกทักษิณชินวัตร เคยกล่าวไว้ เมื่อความจริงเริ่มปรากฏทีละฉากสองฉาก แต่ถึงกระนั้น รัฐเองกำลังชังใจอยู่เช่นกันว่าจะเอายังไงดีกับกลุ่มคนเหล่านี้
เข้าใจว่าวัฒนธรรมของการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน มิอาจหลีกพ้นจากเงาบารมีของเหล่าทหาร ที่ภาคพลเรือนต้องมีความระมัดระวังในการออกตัว โดยเฉพาะในประเด็นด้านความมั่นคง ยิ่งเป็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยแล้วยิ่งต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาหากจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว คนมลายูที่จับอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐไทยรุ่นแล้วรุ่นแล้ว ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของรัฐไทยไม่ นอกจากเป็นเพียงกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนผู้ก่ออาชญากรรมในแผ่นดิน ที่จะต้องจับตายสถานเดียวหรือไม่ก็ถูกดำเนินคดี
ซึ่งความคิดที่จะมีการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เชิงสันติเช่นที่กำลังเกิดขึ้นมาในช่วงสามปีหลังนี้ คงไม่เคยมีในความคิดอ่านของรัฐไทย นอกจากการพยายามค้นหาตัวตนและโครงสร้างเพื่อจะคิดค้นวิธีการทำลายเท่านั้นเอง ประกอบกับรัฐไทยเองมิคาดคิดมาก่อนว่าฝ่ายขบวนการต่อสู้ปาตานี จะมีอายุยืนยาวและวิวัฒนาการมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่รัฐไทยเองพยายามจนหัวติ้วหัวหมุน ต่างใช้วิธีการต่างๆ ที่จะเอาชนะให้ได้ แต่ปรากฏว่าทางฝ่ายกลุ่มขบวนการเองกลับดำเนินการต่อสู้ตามประสาของกลุ่มต่อสู้ของชนส่วนน้อย ที่ต้องใช้วิธีการรบแบบกองโจร และที่สำคัญการต่อสู้ของขบวนการเองจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับรัฐไทยที่เจริญรอยตามการพัฒนาการของขบวนการอย่างไม่ลดละ
อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกเขามีการพัฒนาไปไกลแล้ว แน่นอนเราเองจะต้องไม่หยุดอยู่กับที กับความเชื่อเดิมๆ ยุทธวิธีเดิมๆ อีกต่อไป โดยเฉพาะวิธีการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกี่ยวโยงกับสิทธิทางการเมืองของชนกลุ่มน้อย ตลอดจนวิวัฒนาการทางสังคมที่ได้แปรเปลี่ยนไปตามภูมิภาคต่างๆ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงตามสภาพของแต่ละพื้นที่ ที่สำคัญมันเกี่ยวโยงถึงเรื่องแผ่นดิน ความเป็นมาตุภูมิอีกด้วย
ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นความจริงที่มันได้ดำเนินการไปตามวิถีของมันเอง เพียงแต่อาศัยปัจจัยภายนอกทางสังคมที่อาจคอยโหมกระเพื่อมสิ่งที่อยู่ภายในนั้นออกมาเป็นปรากฏการณ์ขัดขืนหรือต่อสู้เท่านั้นเอง
ปรากฏการณ์ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีของสังคม โดยเฉพาะคนที่รักสันติอย่าเราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย เพราะเราจะไปหักห้ามไม่ให้เขาต่อสู้กัน ไม่ให้ประหัตหระหารใช้ความรุนแรงต่อกัน คงเป็นไปไม่ได้ ทว่าแต่หากเป็นไปได้การเลือกใช้แนวทางสันติวิธีน่าจะเป็นการดีที่สุด
จะว่าไปแล้วหากไม่มีการใช้กำลังเลยเสียทีเดียว มีฤารัฐไทยเองจะรับรู้รู้สึกหรือยอมรับฟังกลุ่มคนดังกล่าวที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องในสิทธิอันพึงมี แต่อย่างที่รับรู้กันก็คือ รัฐไทยเองยังมีความลุ่มลึกในการเดินเกมส์ ยิ่งเป็นเรื่องความมั่นคงที่ข้องเกี่ยวกับอำนาจและอธิปไตยเข้าด้วยแล้ว ย่อมมีความละเอียดรอบด้านอย่างแน่นอน
ซึ่งหากจะย้อนดูการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐไทย ก็ยังคงเลือกใช้แนวทางแบบสันติวิธีตลอดมา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะดำเนินการแบบลับๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรไปบ้างและที่สำคัญไม่รู้ฝ่ายผู้เห็นต่างนั้น เอาอะไรเป็นข้อต่อรองทั้งๆ ที่หากคิดดูแล้วหากรัฐไทยเองไม่ได้พูดคุยหรือรับฟังก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ในเมื่อรับกับไม่รับข้อเสนอหรือข้อต่อรองก็มีค่าเท่ากัน ในเมื่อในพื้นที่ยังคงมีความสงบในทางกายภาพ ถึงแม้ว่าในระดับโครงสร้างจะยังคงมีระบบกดขี่อยู่เช่นเดิมก็ตาม
แต่ยังไรก็ตามเมื่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐไทยไม่อาจที่จะปล่อยปะละเลยได้อีกต่อไป เพราะหากปล่อยไปให้ยืดเยื้อยาวนานรังแต่จะมีแต่ความสูญเสียและความสูญเสีย อีกทั้งรัฐบาลไทยเองคงมิน่าจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนในอดีตได้อีกต่อไป บวกกับแรงกดดันของนานาประเทศ ที่เฝ้ามองติดตามสถานการณ์ทางภาคใต้ของไทยอย่างกระชั้นชิด
ถึงแม้ทางรัฐบาลไทยจะกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในปาตานีด้วยสันติวิธีในร่างนโยบายแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นแนวทางในทางปฏิบัติกลับย้อนแย้งและไม่มีความชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่งจากความคืบหน้าล่าสุดนั้น ที่ได้มีการนัดประชุมอย่างเต็มคณะระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายมาราปาตานี เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ที่แสดงให้เห็นว่าในความชัดเจนก็ยังไม่มีความชัดเจน ในความแน่นอนก็ยังไม่มีความแน่นอน ไม่มีความเป็นสากลและความน่าเชื่อถือในสัจจะ เสมือนว่าอำนาจในการตัดสินใจที่แท้จริงนั้น มิได้อยู่ที่หัวหน้าคณะการพูดคุยอย่างแท้จริงไม่ ประกอบกับยังมีความไม่ชอบมาพากลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะว่าไปแล้วการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จำเป็นต้องเอาหลักสากลมากำกับเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไข ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายจะมีความสบายใจ คำไหนคำนั้น มิใช่การกลับกลอกอย่างที่เคยผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
ผลจากการที่รัฐไทยไม่ยอมลงนามในทีโออาร์ดังกล่าว แสดงให้เห็นนัยยะอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในวัตถุประสงค์ของฝ่ายไทย ที่หวาดกลัวหรือไม่กล้าลงนามในข้อตกลงดังกล่าว อันจะนำไปสู่การกำหนดแนวทางในการพูดคุยต่อไป
ทว่าเมื่อรัฐไทยเองยังไม่กล้าพอที่จะลงนามในข้อตกลงในกรอบกติกาก่อนที่จะมีการพูดคุยดังกล่าว เพียงพอแล้วสำหรับนักต่อสู้ปาตานีจะกลับนำไปทบทวนว่า รัฐไทยมีความปรารถนาเช่นไรในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี หรือจะต้องรอให้กลไกนานาชาติเข้ามาจัดการเอง ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องเดินตามขั้นตอนที่เป็นสากลอย่างไร้ข้องกังวลใดๆ อีกต่อไป ชนะเป็นชนะ แพ้เป็นแพ้ โดยให้ประชาชนในพื้นทีตัดสินใจอนาคตของตนเอง แล้วคำตอบคงจะปรากฏให้ประชาชนได้ลิ้มลองในอรรถรสของสันติภาพอย่างแท้จริง



