โดย : ไชยยงค์ มณีพิลึก สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
การ วางเพลิงเผากล้อง “ซีซีทีวี” หรือ กล้องวงจรปิด ในจังหวัดปัตตานี 4 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.ยะหริ่ง อ.หนองจิก และ อ.สายบุรี จำนวน 130 เครื่อง ในคืนเดียว ถ้ามองอย่างผิวเผินอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะ ใน จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส การก่อเหตุร้ายรายวันเป็นเรื่อง “ธรรมดา” เพราะ เป็นเหตุรายวันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 7 ปี แล้ว
แต่ ถ้ามองให้ลึกลงไป การเผากล้อง “ซีซีทีวี” ครั้งนี้ เป็นเหตุไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะ เป็นการ “เจาะจง” ที่จะเผากล้องซีซีทีวีที่จัดซื้อจัดจ้างโดย “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ (ศอ.บต.) และเป็น ศอ.บต. ในยุคที่มี “ภาณุ อุทัยรัตน์” เป็นเลขาธิการ ศอ.บต. และเป็น เลขาธิการ ศอ.บต. ที่เก้าอี้อยู่ในอาการ “ง่อนแง่น” เนื่องจาก “พรรคเพื่อไทย” ไม่ปลื้มกับผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา และเตรียมส่ง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม มาทำหน้าที่ เลขาธิการ ศอ.บต. แทน
รวม ทั้งเป็นการ “วางเพลิง” ในขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลัง “ขย่ม” พรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการส่อการทุจริตกล้อง “ซีซีทีวี” ในกรุงเทพมหานคร และ พรรคประชาธิปัตย์ออกมาเปิดประเด็นการติดตั้งกล้องซีซีทีวีของกระทรวงมหาดไทย ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในยุครอยต่อระหว่างรัฐบาลไทยรักไทย และ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า มีการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างเช่นกัน
โดย มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า “ซีซีทีวี” ของ ศอ.บต. ทั้ง 130 ตัว เป็น “ซีซีทีวี” ที่จัดซื้อในราคาสินค้าจาก “ฝรั่ง” แต่กล้องที่นำมาติดตั้งเป็นกล้องเทคนิคของประเทศจีน ดังนั้นก่อนที่จะมีการตรวจสอบจาก “การเมือง” จึงมีการเร่งทำลายหลักฐานด้วยการจ้างคนกลุ่มหนึ่งเผาทำลายทิ้ง
และ การวางเพลิงกล้อง “ซีซีทีวี” ใน 4 อำเภอ ของจังหวัดปัตตานีครั้งนี้ ซึ่งกลายเป็นการ “ข้องใจ” ของสังคมว่า ถ้าเป็นฝีมือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน จริงอย่างที่เป็นข่าว ทำไมจึงเลือกเผาแต่กล้องของ ศอ.บต. ใน 4 อำเภอ ทำไมไม่เผากล้องที่จัดซื้อโดยหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งมีทั้งของมหาดไทย และ อปท.
ซึ่ง นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลาขาธิการ ศอ.บต. ได้กล่าวถึงเรื่องการเผากล้อง “ซีซีทีวี” จำนวน 130 ตัว ใน 4 อำเภอ ของ จ.ปัตตานี ว่า กล้องทั้งหมดเป็นการจัดซื้อของ ศอ.บต. โดยเป็นงบประมาณพิเศษที่ได้รับจากองค์กรอื่น ซึ่งไม่ใช่ของกระทรวงมหาดไทย และเป็นกล้องที่มีประสิทธิภาพสูง
นาย ภาณุ กล่าวว่า สามารถบันทึกภาพของ “แนวร่วม” ที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 4 อำเภอ ดังกล่าวที่ผ่านมา จนนำไปสู่การออกหมายจับคนร้ายได้หลายคดี และที่ ศอ.บต. เน้นในการติดตั้งกล้อง “ซีซีทีวี” ใน 4 อำเภอ ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ ซึ่งเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่มีการก่อความไม่สงบมากกว่าอำเภออื่นๆใน จ.ปัตตานี การวางเพลิงกล้อง “ซีซีทีวี” ทั้งหมดเป็นฝีมือของ “แนวร่วม” ในพื้นที่อย่างแน่นอน เนื่องจากในขณะที่ก่อเหตุ และ หลบหนี มีกล้อง “ซีซีทีวี” อีกส่วนหนึ่ง สามารถบันทึกภาพของ “คนร้าย” ไว้ได้ ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการออกหมายจับ
ดัง นั้นถ้าเป็นอย่างที่ เลขาธิการ ศอ.บต. ได้อรรถาธิบาย สังคมที่จับตามองถึงความไม่โปร่งใสของภาครัฐในการจัดงบประมาณ จัดซื้อ จัดจ้าง โดยนำกล้อง “ซีซีทีวี” ที่ไม่มีคุณภาพมาใช้ คงสบายใจขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการที่ “แนวร่วม” หันมาวางเพลิงกล้อง “ซีซีทีวี” ย่อมเป็นอีกพัฒนาการหนึ่งของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ในการที่ต้องการทำลายหลักฐานในการก่อการร้าย
แต่ คำตอบของ เลขาธิการ ศอ.บต. ก็มีคำถามแย้งขึ้นทันทีจากคนในพื้นที่ว่า ถ้า “แนวร่วม” เห็นว่า กล้อง “ซีซีทีวี” คือ เครื่องมือชิ้นหนึ่งในการจับภาพของผู้กระทำความผิดที่กลายเป็นหลักฐานผูกมัด ให้ต้องโทษตามกฎหมาย ทำไม “แนวร่วม” จึงไม่วางเพลิง หรือ ทำลาย กล้อง “ซีซีทีวี” อีกจำนวนมากใน จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส ซึ่งมีการติดกล้อง “ซีซีทีวี” ทั้งของมหาดไทย และของเทศบาล จำนวนไม่น้อย เพราะ ภาพจากกล้องเหล่านั้นก็เป็นหลักฐานในการเอาคนผิดติดคุกได้เหมือนๆกัน
ดัง นั้นเงื่อนปมการวางเพลิงเผากล้อง “ซีซีทีวี” ใน 4 อำเภอ ของ จ.ปัตตานี จึงไม่จบลงง่ายๆ วิธีการเดียวที่จะคลี่คลายข้อสงสัยของสังคม คือ “ตำรวจ” ต้องเร่งสืบสวน สอบสวน จับกุม คนร้ายที่ทำการเผากล้องซีซีทีวีมา “เค้น” เอาข้อเท็จจริงว่า คนเผาเป็น “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ เป็นแค่มือ “รับจ้าง” จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ จัดซื้อ จัดจ้าง “ซีซีทีวี” ของ “ศอ.บต.” เพื่อตัดวงจรทำลายหลักฐานที่อาจจะพาดพิงถึงใครต่อใคร เช่นเดียวกับการจัดซื้อ จัดจ้าง ติดตั้ง กล้อง “ซีซีทีวี” ในยุดรอยต่อระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่มี นายอารีย์ วงค์อารยะ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ที่บริษัทผู้ติดตั้งเป็นผู้ “ใกล้ชิด” กับ นายอารีย์ วงค์อารยะ และมีการเบิกเงินไปหมดแล้ว แต่ติดตั้งกล้องได้ไม่ครบ และ กล้อง “ซีซีทีวี” ที่ติดตั้ง ไม่เป็นไปตาม “สัญญา” จัดซื้อ จัดจ้าง ซึ่งกลายเป็น “เผือกร้อน” ในมือของ “พระนาย สุวรรณรัตน์” รมต.มหาดไทย ในขณะนี้
และ สุดท้าย ปมการเผากล้อง “ซีซีทีวี” ใน 4 อำเภอ ของ จ.ปัตตานี อาจจะยังต้องใช้เวลาในการ “เคลียร์” เพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง แต่ปัญหาเร่งด่วน คือ ต้องจัดงบประมาณ จัดซื้อ จัดหา กล้อง “ซีซีทีวี” มาติดตั้งแทนของเก่าใน 4 อำเภอ โดยเร็ว เนื่องจากพื้นที่ 4 อำเภอ ดังกล่าว เป็นพื้นที่ “ยุทธศาสตร์” ที่มีการก่อความไม่สงบเกิดขึ้นมากที่สุด และ กล้อง “ซีซีทีวี” คือ เครื่องมือชนิดเดียว ที่ทำให้พนักงานสอบสวนสามารถรู้เบาะแส และรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย ในการนำไปสู่ขบวนการจับกุม สอบสวน และ ส่งฟ้อง เพื่อเอาคนทำผิดมาลงโทษ เพราะ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เคยมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นพยาน เพื่อเอาคนทำผิดให้ติดคุกได้
และ หากรัฐบาลเพื่อไทยที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้จริง และจะทำตามที่ “หาเสียง” ไว้ ควรเร่งในการจัดหางบประมาณ เพื่อติดตั้งกล้อง “ซีซีทีวี” ให้ครบถ้วนโดยเร็ว ไม่ใช่ปล่อยให้ภาคเอกชนต้องร่วมมือกัน “ทอดผ้าป่า” เพื่อซื้อกล้อง “ซีซีทีวี” ไปติดตั้งกันเองตามยถากรรม เพราะ ความมั่นคงของประเทศไม่ใช่งาน “ทอดผ้าป่า” เพื่อสร้าง “หอฉัน” หรือ “ศาลาการเปรียญ”