เรื่องเขตปกครองพิเศษในพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นเสมือนบทเพลงอันแสนยาวที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ แม้จะถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปราย ทั้งในทางสนับสนุน และ ในทางคัดค้านอย่างต่อเนื่อง …หรือบางที ประเด็นนี้ก็อาจมีไว้เพียงเพื่อหยิบยกมาเล่นตามจังหวะ ทำนองของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ?
เพลงที่เล่นคร่อมจังหวะกันไปมาในฝ่ายรัฐบาล
และจังหวะ ทำนองที่ขับกล่อมอยู่ในขณะนี้ คือ จังหวะ ทำนองที่ตัวแสดงในฝ่ายรัฐบาลแย่งกันโซโล่ คร่อมจังหวะกันมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ ช่วงหาเสียงที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ คลุมฮิญาบสีแดงชูนิ้วชี้ขึ้นฟ้าแล้ว
กู่ก้องโดยไม่ต้องอ่านโพยในทำนองว่า
“…เดี๊ยนจะทำให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ปกครองพิเศษเหมือนกรุงเทพฯ และพัทยา คร่าาา… เบอร์ 1 คร่าา เบอร์ 1นะค๊าา…”
แต่เมื่อชนะการเลือกตั้งแล้ว นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกลับประกาศกลางสภาในทำนองว่า
“…โน๊~โน~พรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายจัดตั้ง นครปัตตานี หรือ ปัตตานีมหานคร นะฮะ.. โน๊~ โน~…”
แต่ ณ ขณะนี้คณะกรรมการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สภาผู้แทนราษฎร หรือ กปพ. ที่มีนายประสพ บุษราคัมอดีต ส.ส. อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กลับหนุนสุดตัวกับเขตปกครองพิเศษ และลงเอยล่าสุดที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้มอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปศึกษาแนวทางการตั้งเขตปกครองพิเศษดูก่อน …ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันต่อไปรัฐบาลจะมีทิศทางยังไงอีกต่อเรื่องนี้
…เฮ้ออ~…เรื่องนี้เรื่องเดียวก็วุ่นวายตายห่_แล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสำคัญอื่นที่ควรถกเถียงและกำหนดทิศทางกันให้ชัดอีกหลายเรื่องเพื่อยุติปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งยืดเยื้อเรื้อรังฝังรากมานาน เช่น เรื่องการพูดคุยเพื่อสันติภาพในพื้นที่ จะคุยหรือไม่คุย หรือจะคุยแต่บอกว่าไม่คุย แล้วใครจะคุย คุยกับใคร คุยอย่างไร ฯลฯ
….เอ่อมมม ถ้าให้ผมเสนอนะ ผมว่าจังหวะตอนนี้ พวกแก(รัฐบาล)น่ะแหละ !!!ควรคุยกันมากที่สุด อ้อ!แล้วอย่าลืมไปคุยกับเจ้าของอำนาจตัวจริงของประเทศนี้ด้วยล่ะ ก็กองทัพไง ถ้าท่านผู้กล้าเหล่านี้ไม่แฮปปี้ยอมบรรเลงในทิศทางเดียวกับรัฐบาล …บทเพลงนี้ก็ไม่จบง่ายๆ แน่
แผ่นเสียงที่ตกร่องของปีกอนุรักษ์นิยมในฝ่ายความมั่นคง
พร้อมๆกับการขับขานที่เจื้อยแจ้วของฟากรัฐบาล …จังหวะ ทำนองที่ขับกล่อมควบคู่กันอยู่ในขณะนี้ คือ จังหวะ ทำนองของการคัดค้านข้อเสนอเขตปกครองพิเศษชนิดหัวชนฝาจากปีกอนุรักษ์นิยมของฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะกองทัพ ที่บรรเลงโน้ตเพลงท่อนเดิม คีย์เดิมซ้ำๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า
“ถ้าเป็นข้อเสนอเรื่องการกระจายอำนาจแล้วล่ะก็ ?? …มันก็มีอยู่แล้วนิ ก็พวก อบจ. เทศบาล อบต. นั่นไง อย่ามาเรื่องมากได้มะ !!
“ฮะ อะไรอีกนะ ..อ๋อ อยากได้รูปแบบพิเศษ ให้พื้นที่เป็นเขตปกครองพิเศษใช่ป่ะ ?? ..เอ๋าาา ที่ผ่านมาเราก็จัดให้มีรูปแบบการปกครองและการบริหารจัดการแบบ “พิเศษ” มาโดยตลอดอยู่แล้วไงฟะ …โครงสร้างก็พิเศษ คือ มี ศอ.บต. …กฎหมายก็เลือกสรรมาให้แบบพิเศษๆ ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ … จัดมาให้ “พิเศษ” ! ไม่เหมือนที่อื่น !เต็มที่ขนาดนี้ !พวกแกจะเอาอะไรอีกนิ !!!”
…ท่านครับ ผมเห็นด้วยกับท่านสุภาพบุรุษทั้งหลายนะฮะ ว่าที่ผ่านมานั้น ก็ปกครอง “พิเศษ” อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ มันพิเศษ ในแง่ “เทคนิคการใช้อำนาจรัฐ” …ไม่ใช่พิเศษในแง่ “เทคนิคตอบสนอง/รับใช้เจตจำนงค์ของพลเมือง” โว้ยย!!!
ผมกำลังพยายามบอกว่า ที่ผ่านมา มันปรากฏกลไก เครื่องมือ วิธีใช้อำนาจรัฐหลากหลายจะสรรหามา ทั้ง กฎอัยการศึก ..พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ..พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ …ทั้ง โครงสร้าง กอ.สสส.จชต. ..กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า .. พตท. .. ศอ.บต. .. มันจึงถูกอย่างที่คุณพี่ยอดมนุษย์ชุดเขียวเรนเจอร์ว่ากันน่ะแหละครับ คือ มัน “พิเศษ”กว่าที่อื่นของประเทศ แต่แย่ตรงที่เครื่องมือพิเศษทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นไปเพื่อรับใช้เป้าหมายธรรมดาๆ ของรัฐไทยที่ยึดถือไว้มานานแล้ว นั่นคือ การพิทักษ์ไว้ซึ่งอำนาจของรัฐ และการรักษาเอาไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐเป็นหลัก (ทั้งในเรื่องเอกราช บูรณภาพแห่งดินแดน และอำนาจอธิปไตย/ความชอบธรรมในการใช้อำนาจอธิปไตยของกรุงเทพฯ เหนือดินแดนปาตานี)
ผมมองว่า ความ “พิเศษ” ที่ผ่านมาของรัฐแบบนี้ยังคงมีกลิ่นอายของการคิดเกี่ยวกับปาตานี อยู่ในกรอบคิดจักรวรรดินิยมสยามที่ล้าสมัยไปนานแล้ว ในขณะที่การคิดเกี่ยวกับปาตานี ตลอดจนพื้นที่ท้องถิ่นต่างๆ ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ควรที่จะคิดในกรอบของประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ตามหลักการที่มันนอนเท้งเต้งอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งการรับใช้เจตนารมณ์ของพลเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญของการใช้อำนาจรัฐ มิใช่เป็นสิ่งที่ควรเพิกเฉย กดทับ
ท่ามกลางการใส่จังหวะ ทำนองที่ปีกอนุรักษ์นิยมในฝ่ายความมั่นคงมองว่าเป็น“ท่อนฮุค”ของบทเพลงไปแล้ว เสียงเพรียกหา “ท่อนฮุค” จากคนข้างนอกเวที หรือกระทั่งความพยายามของคนอีกกลุ่มบนเวทีที่พยายามจะบรรเลง “ท่อนฮุค”บ้าง จึงฟังดูเป็นสิ่งไร้สาระ
ในจังหวะ ทำนองตอนนี้ที่คนบนเวทีทั้งหมดไม่คุยกัน และยอมถอยฉากให้เพื่อนได้ผลัดกันโซโล่บ้าง …ในจังหวะ ทำนองตอนนี้ที่คนบนเวทีไม่รับฟังเสียงคนข้างล่าง (ผู้ที่จำต้องอดทนฟังเสียงพวกบนเวทีเล่นดนตรีอะไรกันอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้)…บทเพลงนี้จึงปรากฏออกมาอย่างมั่วซั่ว สับสน รบกวนโสตประสาท และคันๆๆๆๆๆๆๆ หู เป็นอย่างยิ่ง
***ความเห็นในบทความนี้เป็นของผู้เขียน และไม่ได้แสดงถึงจุดยืนของกองบรรณาธิการ