นักสันติวิธีท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น สิ่งแรกที่ถูกทำลาย คือ ความจริง
ในสถานการณ์ความรุนแรงที่ยืดเยื้อเรื้อรังของจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำถามสำคัญในใจใครหลายคนตลอดช่วงหลายสิบวันแห่งการละศีลอดที่ผ่านมาก็คือว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับห้วงเวลาเดือนรอมฎอนใช่หรือไม่ใช่ ? … ความรุนแรงในห้วงเดือนนี้ เพิ่มขึ้นจริงหรือเพียงเพราะเราคิดกันไปเอง ? ฯลฯ
…คำถามเหล่านี้เป็นประเด็นที่น่าขบคิดและหาคำตอบอย่างมาก เพราะคำตอบดังกล่าวเกี่ยวพันกับการยืนยัน(หรือไม่ก็หักล้าง) คำแถลงของทั้งรัฐบาลและ OIC ที่ประสานเสียงกันมาโดยตลอดว่า ความขัดแย้งในพื้นที่ไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนา
ในการตอบคำถามข้างต้น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่พอจะช่วยเราอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการก่อเหตุรุนแรงกับช่วงเดือนรอมฎอน คือ สถิติของเหตุการณ์ความไม่สงบ นับตั้งแต่มกราคม 2547 พฤษภาคม 2555 ซึ่งในที่นี้จะทดลองพิจารณาโดยจัดความสัมพันธ์ของสถิติดังกล่าวกับช่วงเดือนรอมฎอนของแต่ละปี (โดยการประมาณการณ์ช่วงเดือนคร่าวๆ ) ดังนี้
จากข้อมูลตัวเลขด้านบน ช่วงที่วงด้วยสี่เหลี่ยมสีแดงไว้ คือ ช่วงที่ประมาณการณ์ว่าเป็นเดือนรอมฎอนของแต่ละปี ซึ่งพบว่า จำนวนการเกิดเหตุ และจำนวนคนเจ็บคนตาย เคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกับภาพใหญ่ของพลวัตสถานการณ์ความไม่สงบ …ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
และหากนับต่อจากสถิติของอาจารย์ศรีฯ มาจนถึงเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านไปนี้โดยใช้ข้อมูลจาก blog ของSupaporn ซึ่งเป็นฐานอยู่ใน Deep South Watch เหมือนกัน จะเห็นแนวโน้มว่า จำนวนการก่อเหตุมีทิศทางเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่แตะจำนวน 100 ครั้ง (พ.ค. อยู่ที่ 56 ครั้ง … มิ.ย.อยู่ที่ 80 ครั้ง และ ก.ค. อยู่ที่ 85 ครั้ง)
ในขณะที่จำนวนคนเจ็บคนตายในช่วงปี 2555 นี้ จะเห็นจากสถิติของอาจารย์ศรีฯ ว่า เดือนมีนาคม (เดือนที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่หาดใหญ่และเมืองยะลา) เป็นเดือนที่มีผู้บาดเจ็บมากที่สุดในรอบ 9 ปีของสถานการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะที่ในเดือน พ.ค. มิ.ย. และ ก.ค. ปีนี้ จำนวนคนตายยังไม่แตะครึ่งร้อย รวมทั้ง คนเจ็บก็ยังไม่แตะหลักร้อย
…ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงเวลาอื่นๆ ทั้งในแง่จำนวนการเกิดเหตุ ที่ดูลดลงนับตั้งแต่ปี 2551 และจำนวนคนเจ็บคนตายที่ยกเว้นบางเดือน (ซึ่งไม่ใช่เดือนรอมฎอนของแต่ละปี !!!) แล้ว ดูจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนับตั้งแต่เริ่มต้นนับศพกันเมื่อปี 2547 (โปรดดูกราฟประกอบ)
ฉะนั้นแล้ว จากสถิติเบื้องต้นดังกล่าว อาจสรุปในแง่จำนวนตัวเลขได้อย่างน้อย 2 ข้อ คือ
1. สถานการณ์ความไม่สงบในช่วงเดือนรอมฎอนปีนี้ไม่ได้รุนแรงไปกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ที่ผ่านมาตลอด 9 ปีของสถานการณ์ความไม่สงบ และ
2. การเพิ่มขึ้นและลดลงของการก่อเหตุความรุนแรงในแต่ละช่วงเวลา น่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ มากกว่าปัจจัยเรื่องของการอยู่หรือไม่อยู่ในช่วงเดือนรอมฎอนของแต่ละปี เช่น ระดับการบาดเจ็บล้มตายในช่วงก่อนตุลา 2547
ด้วยเหตุนี้ ภาพที่คนจำนวนไม่น้อยวาดไว้ว่า เดือนรอมฎอน สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่มักจะเกิดถี่ขึ้น หรือหนักหนาสาหัสขึ้นนั้น จึงเป็นภาพที่ไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเชิงสถิติ โดยผมมองว่า มายาคติดังกล่าวน่าจะเป็นผลมาจากภาพที่สื่อมวลชนจับจ้องต่อการเกิดเหตุ และนำเสนอในสิ่งซึ่งเชื่อมต่อเข้ากันได้อย่างพอดีกับการรับรู้ของคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยโดยรวม ที่มีการรับรู้เกี่ยวกับมุสลิมในภาพของความเป็นอื่น ที่แปลกแยก อยู่แล้ว ความรู้สึกของคนเหล่านั้นจึงปรากฏในลักษณะเดียวกับการที่บางคนกลัวเสียงละหมาดยามรุ่งสาง …ลักษณะเดียวกับการที่บางคนกลัวสตรีคลุมฮิญาบ…ลักษณะเดียวกับการที่บางคนกลัวศาสนาอิสลามยึดครองประเทศไทยและทำลายพุทธศาสนา …ลักษณะเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่กลัวมุสลิมคลั่งศาสนาจะบ้าเลือดก่อเหตุรุนแรงในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
…กระนั้นก็ตาม ในแง่ของการก่อเหตุแต่ละครั้งในช่วงเดือนรอมฎอนแล้ว คงต้องยอมรับว่าเรายังไม่มีสถิติ หรือข้อเท็จจริงใดที่พิสูจน์อย่างเปิดเผยและครบถ้วนว่า การลงมือก่อเหตุในแต่ละครั้ง (มากบ้าง น้อยบ้าง) มีความสัมพันธ์กับเดือนศักดิ์สิทธิ์นี้หรือไม่ และอย่างไร โดยเฉพาะเจาะจงที่เดือนรอมฎอนของปีนี้
ที่สถิติตัวเลขของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้าระบุว่า มีการเกิดเหตุความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 7 เดือน
ซึ่งนี่เป็นสิ่งเย้ายวนให้อดที่จะวิเคราะห์ต่อไปไม่ได้ว่า หากสมมติว่า การก่อเหตุในช่วงเดือนนี้สัมพันธ์กับการเป็นเดือนรอมฎอนแล้ว ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีลักษณะ รูปร่าง หน้าตา อย่างไร … ซึ่งประเด็นนี้ คงจะได้มีโอกาสวิเคราะห์ภาพความเป็นไปได้ (scenarios) เพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะกับท่านผู้อ่านในครั้งต่อไป