คลิปยูทูบคลิปหนึ่งที่อยู่ในกระแสความสนใจของสังคมไทยช่วงนี้ คงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก คลิป โปรโมทหนังสือ ‘Bangkok 1st Time’ ของ เนลสัน ฮาวอ์
‘การโดนคนไทยด่าครั้งแรก’ ของฮาวอ์สะท้อนถึงสภาวะประการหนึ่ง นั่นคือ การเผชิญหน้ากับบริบทที่แปลกต่างไปจากที่ที่ตนเติบโตขึ้นมา สิ่งที่ฮาวน์พบเจอย่อมไม่ใช่เรื่องคุ้นชิน ทั้งในแง่วัฒนธรรม ค่านิยม บรรทัดฐาน หรือกระทั่งรูปแบบของคำด่า
อันที่จริง เรื่องราวทำนองนี้เป็นของธรรมดาสำหรับโลกที่การไหลเวียนของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะ ‘คน’ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย มากขึ้นกว่าอดีตเยอะ
ในชีวิตประจำวันแต่ละวัน ตัวตนของเรามีโอกาสที่จะเผชิญ ปะทะ และสังสรรค์กับตัวตนที่เป็นอื่นอย่างมากมายหลายหลาก และยิ่งโลกเชื่อมโยงเข้าหากันยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งตระหนักเห็นว่าเราอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยความแตกต่างไม่เหมือนกัน มากกว่าความเอกพันธ์เป็นหนึ่งเดียว
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราเองก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีความแตกต่างหลากหลายดำรงอยู่ในหลายๆ เรื่อง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีหลายๆ เรื่องที่คล้ายกัน มีจุดยึดโยงกัน มีรากเหง้าที่มาจากแหล่งเดียวกัน หรือมีการปะทะสังสรรค์กันจนกลายเป็นสิ่งใหม่ ฯลฯ
คำถาม ก็คือ ในจังหวะก้าวไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘ประชาคม’ (Community) เดียวกัน เราจะอยู่กับความต่างในความเหมือน และความเหมือนในความต่าง ระหว่างเรากับเพื่อนบ้านประเทศอื่นๆ อย่างไรดี
ในที่นี้ ผมขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องมานำเสนอซึ่งดูจะเป็นปัญหาเอามากๆ
เรื่องแรก ผมเขียนขึ้นโดยแรงบันดาลที่ได้จากการอ่านบทความชื่อ “มหาชัย ดินแดนใคร ไทย หรือ พม่า?!?” ของทีมข่าวเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งคาดได้ว่าคงจะสะท้อนสภาวะอารมณ์ของ คน‘ไทย’ จำนวนไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับการไหลบ่าเข้ามาของแรงงานต่าวด้าว โดยเฉพาะจากฝั่งพม่า
มุมมองที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในบทความดังกล่าว คือ ความหวาดวิตกในลักษณะของการทำตัวไม่ถูก มากกว่าจะเป็นความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างสุดจิตสุดใจ โดยทีมข่าวเปิดประเด็นของบทความด้วยประโยคว่า “ระยะทางห่างจากเมืองหลวงเพียง 36 กิโลเมตร จะมีเมืองทั้งเมือง ที่ทำให้เรารู้สึกราวกับว่า กลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านของตัวเองได้เชียวเหรอ”
ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ถ้าเราเข้าใจว่า คนไทยถูกตอกย้ำตั้งแต่เด็กจนโตเกี่ยวกับเรื่อง ‘เอกราช’ การไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร แต่โดนเผาทำลายโดย ‘พม่า’ ความรู้สึกที่ว่าในดินแดนขวานทองของไทยจะมีสิ่งอะไรที่ ‘ไม่ใช่ไทย’ ตามแบบเรียนที่ท่องมา สามารถแทรกซึมเข้ามาบ่อนทำลายรากเหง้าอันดีงามของเราไปได้ เป็นความรู้สึกที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแบบไทยๆ มาช้านาน
ครั้นเมื่อจำต้องเผชิญความจริงที่ว่ามี ‘สิ่งแปลกปลอม’ บางอย่างสามารถเข้ามาดำรงอยู่อย่างสถาพรในดินแดนของไทย และดูจะมีอิทธิพลครอบงำพื้นที่นั้นๆ เข้าให้ โดยเฉพาะยิ่งสิ่งนั้นเป็นพม่าเสียด้วยแล้ว ก็คงชวนให้คนไทยหลายคนกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
แต่ปัญหานี้คงไม่เกิดขึ้นในขนาดอย่างที่เห็น ถ้าเราเข้าใจสภาพจริงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่การเคลื่อนไหลไปมาระหว่างชนกลุ่มต่างๆ ชาติพันธุ์ต่างๆ นั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดเส้นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่นับรวมถึงจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเราก็เห็นๆ กันอยู่
แต่ข้อเท็จจริงประการดังกล่าว ถูกบดบัง กดทับ ปิดกั้น และกีดกันออกจากการบันทึกจดจำในรูปของประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการของรัฐไทย
ประวัติศาสตร์ทางการของรัฐไทย เป็นประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของ ‘เอกราช’ ซึ่งก็เพิ่งถูกผลิตสร้างขึ้นในสำนึกของคน‘ไทย’ เพียงแค่เมื่อตอนมีกระบวนการสร้างชาติ ไม่กี่ร้อยปีมานี้เท่านั้น ประวัติศาสตร์เอกราชชาติไทยที่คลั่งการสะสมดินแดน โดยมีเพื่อนบ้านเป็นอริราชศัตรูที่ต้องคอยระแวดระวังนั้น เป็นพล็อตเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อสร้างความรวมใจเป็นหนึ่งเดียวของ ‘คนข้างใน’ ดินแดนรัฐชาติสมัยใหม่ โดยการทำให้เห็นว่า ‘คนและสิ่งที่อยู่ข้างนอก’ นั้นล้วนอันตราย ไว้ใจไม่ได้ เป็นศัตรู และเราจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อ ‘เรามีเรา’ เท่านั้น เราไม่มีใครอื่นที่เป็น ‘พวกเดียวกัน’ นอกเหนือจากนี้
พร้อมกันนั้น รัฐสมัยใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมา ก็จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น ในแง่ของการเป็นองค์กรที่ขึงพืดตีกรอบเส้นเขตแดนอันชัดเจนให้คน ‘ข้างใน’ ปลอดภัยจากภัยที่อยู่ ‘ข้างนอก’ และอยู่ข้างในดีกว่าอยู่ข้างนอก
ขณะเดียวกัน การจะทำให้คน ‘ข้างใน’ รู้สึกว่าอยู่ข้างใน แล้วดีกว่าข้างนอกได้ ก็ด้วยการที่รัฐมอบโอกาสและกระจายทรัพยากรบางอย่างให้ ในทำนองนี้เราคงจะเห็นตัวอย่างปัจจุบันอย่างเช่น รัฐสวัสดิการรัฐต่างๆ หรือ ทัศนคติที่มองว่า อเมริกาคือดินแดนแห่งเสรีภาพ ความหวัง และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะเป็นดินแดนที่มอบโอกาสใหม่ๆ ให้เสมอ เป็นต้น
แต่ครั้นในกรณีของรัฐที่ไม่สามารถรับประกันหรือมอบของพวกนี้ให้ได้ ก็จำต้องใช้ยากล่อมประสาททำให้พลเมืองของตนรู้สึกทึกทักเอาว่า อยู่ข้างในแล้วดีกว่าข้างนอก และยากล่อมประสาทที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง ก็คือ ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ปกครองในการควบคุมสำนึกของผู้อยู่ใต้ปกครอง และสำนึกทางประวัติศาสตร์ของพลเมืองไทยก็ยังคงอยู่ใต้อิทธิพลของความคิดแบบประวัติศาสตร์ยุคสร้างชาติ ซึ่งมีไว้รับใช้ผลประโยชน์ของชนชั้นนำ
สำนึกรับรู้ทางประวัติศาสตร์ที่หล่อหลอมวิธีคิดดังกล่าวนั้น กำหนดโลกทัศน์ในการมองปัจจุบันอย่างมหาศาล ทุกวันนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ชาวไทยยังคงมองชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นเสมือน ‘สิ่งแปลกปลอม’ เป็น ‘อะไรที่เป็นอื่น’ ในเชิงลบ ที่จะต้องจับตาระวัง หรือดูหมิ่นดูแคลน
สำนึกทางประวัติศาสตร์แบบนี้ ทำให้ไทยมีศัตรูอยู่รอบบ้าน เราไม่มีชาติใดเลยที่ไว้ใจและคบหาได้ฉันท์มิตรเท่ากับคนไทยด้วยกัน และพร้อมจะร่วมใจกันเอา ‘เลือดทาแผ่นดิน’ พลีชีพเพื่อรักษาเอกราชของ ‘ชาติ’ ไว้ .. (ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจนักว่า คนยุคปัจจุบันที่ติดยึดกับสำนึกข้างต้น พร้อมจะกระทำจริงๆ หรือดีแต่ปาก)
ไม่แปลกอะไรที่เวลาแข่งกีฬาซีเกมส์ เราจะเห็นกองเชียร์หลายชาติไม่ค่อยชอบขี้หน้าเราเท่าไหร่ ก็เพราะเราชอบทำตัวเป็นพี่ใหญ่ แต่เสือกใจแคบ แบบนี้ไง
ประเด็นนี้น่าสนใจมากเพราะ สำนึกประวัติศาสตร์แบบนี้ ไม่ส่งเสริมต่อการรวมเป็นประชาคม
การจะรวมเป็นประชาคม (Community) ได้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ไม่ใช่กฎบัตรบ้าบออะไร หากแต่คือสำนึกของความเป็นประชาคมร่วมกัน (Sense of Community) เช่น คุณเคารพเพื่อนบ้านของคุณหรือเปล่า คุณพร้อมจะแชร์ผลประโยชน์และทรัพยากรบางอย่าง อาทิ สวนหน้าบ้าน ร่วมกับเพื่อนบ้านของคุณไหม คุณพร้อมที่จะร่วมดำเนินกิจกรรมสาธารณะ หรือพิธีกรรม ประเพณี ร่วมกับเพื่อนบ้านหรือไม่ เป็นต้น
และด้วยสำนึกประวัติศาสตร์ของคนไทยแบบนี้อ่ะนะ มึงจะไปรวมอะไรกับเขาได้ ?!?
หรือหากภูมิภาคนี้ก้าวไปสู่ความเป็นประชาคมตาม Roadmap ที่วางไว้ ก็ประชาคมที่เกิดขึ้นจะเป็นการรวมกลุ่มที่มีหน้าตาอย่างไร?
แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โลกอันเชื่อมโยงเข้าหากัน เราจะรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ผมไม่ได้เขียนบทความนี้ขึ้นด้วยจงใจชวนให้ทุกท่านเข้าไปเนียนตีสนิทกับคนชาติเพื่อนบ้านเพื่อดัดจริตพรีเซ้นต์สิ่งที่เป็น sense of community
ผมเพียงชี้ชวนให้ท่านตระหนักถึงข้อเท็จจริงว่า ในการจะก้าวไปรวมเป็นประชาคมเดียวกันนั้น อันที่จริงเรารู้จักกันน้อยเอามากๆ และท่านจะไม่สามารถรวมกันได้เลย ถ้าไม่เปิดใจที่จะเรียนรู้กันอย่างแฟร์ๆ พร้อมกับสลัดทิ้งสำนึกประวัติศาสตร์งี่เง่าที่เขียนขึ้นโดยชนชั้นนำยุคสมัยหนึ่งซึ่งเขียนไว้หลอกพวกคุณไปตายแทนพวกเขาในสงคราม
ท่านไม่สามารถเรียกสิ่งที่กำลังจะเป็นในภูมิภาคเราอย่างเต็มปากได้ว่า “ประชาคม” ถ้าท่านไม่พร้อมจะสัมผัสกับอะไรที่ไม่เหมือนพวกตนเอง
หรือหากท่านดึงดันจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนพร้อมๆ กับสำนึกประวัติศาสตร์แบบเดิมที่ยังหวาดระแวงเพื่อนบ้าน ดูหมิ่นดูแคลน และมองเพื่อนบ้านเป็นอริราชศัตรูซึ่งต้องจัดการซะแล้วล่ะก็ เรื่องหนึ่งที่ท่านอาจจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ก็อาจจะเป็นเรื่องของ คำด่า ในภาษาชาติเพื่อนบ้าน
ลองค้นศึกษาเผื่อไว้ก่อนดีไหม จะได้เตรียมด่ากลับถูก เรื่องแบบนี้ คนไทยน่าจะถนัด
(โปรดติดตามต่อตอนไป)
อ้างอิง
[1] https://www.youtube.com/watch?v=ve0WYVb-4po&feature=youtu.be
[2] http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx?NewsID=9570000012839


