หน้าแรก บทความ

ตูแวดานียา สะกิดคู่ขัดแย้งพักรบหันมาสู้โควิด-19 ชี้ชุมชนหยั่งเสียงเสนอฝ่ายศาสนาควรมีบทบาททางการเมืองมากยิ่งขึ้น

สถานการณ์จังหวัดชายแดนใต้ระยะหลังๆมานี้มีความรุนแรงถี่ต่อเนื่องหลังจากหน่วยความมั่นคงเชื่อว่าสามารถคุมสถานการณ์ได้แล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์ระเบิดศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการปฎิบัติการปิดล้อม ต.ตาเซะ อ.เมือง จ.ยะลา รอยต่อ จ.ปัตตานี เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12-20 มีนาคม- 63 ต่อเนื่องมากว่า 8 วัน เพื่อจับกุมกลุ่มขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งคาดว่าเป็นกองกำลังของกลุ่มขบวนการ BRN โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความสูญเสียทั้งฝ่ายความมั่นคงและกลุ่มขบวนการเอง

ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีสัญญาณว่าอาจจะยืดเยื้อไปอีกหลายปีทำให้ภาคประชาสังคมและชุมชนจึงพยายามปรับตัวและจัดทำข้อเสนอต่างๆเพื่อเสนอต่อคู่ขัดแย้งมาเป็นระยะๆ โดย สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา(LEMPAR) ซึ่งเป็นองค์กรประชาสังคมในพื้นที่ชายแดนใต้ที่พยามยามมีส่วนร่วมในการแสวงหาทางออกและเป็นปากเป็นเสียงทำงานร่วมกับชุมชน ก็เป็นหนึ่งในองค์กรเหล่านั้น โดยล่าสุดก็มีการออกแถลงการณ์ถึงท่าทีการต่อสู้ระหว่างคู่ขัดแย้งนั้นได้ซ้ำเติมปัญหาของประชาชนในพื้นที่ที่กำลังรับมือกับปัญหาไวรัสโควิด-19 จึงได้ออกแถลงการณ์พิเศษ เรียกร้องรัฐและ BRN หยุดปฏิบัติการทางอาวุธอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ควบคุมได้โดยไม่ส่งผลเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของผู้คนอีกต่อไป

แถลงการณ์ระบุว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ทั่วทั้งโลกและรวมถึงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติภัยพิบัติโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโคโรนาโควิด-19 อย่างถ้วนหน้า จากสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้เสียชีวิตและจำนวนผู้ที่อยู่ในการควบคุมอาการของแพทย์ ประกอบกับภาวะการณ์ที่หน้ากากอนามัยขาดตลาดและรัฐไม่สามารถจัดหามาให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งที่มีขายตามร้านค้าทั่วไปรัฐก็ไม่สามารถควบคุมราคาให้อยู่ในระดับที่ประชาชนไม่รู้สึกว่า เป็นการกดขี่ขูดรีดประชาชนในสถานการณ์ที่ประชาชนกำลังตกทุกข์ได้ยาก

ตลอดจนหากนับรวมระดับอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสังคม ณ เวลานี้ เชื่อว่าคงไม่มีพื้นที่ไหนที่ผู้คนทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มอาชีพ หรือทุกระดับชนชั้นในสังคมที่ไม่ได้ถูกรบกวนสุขภาพจิตจนกลายเป็นคนที่ต้องวิตกังวลอยู่ตลอดเวลา

โดยสรุปคือสังคมโลกและสังคมไทยโดยเฉพาะสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประชาชนต้องเสี่ยงกับความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอันเป็นผลจากการต่อสู้กันด้วยอาวุธจากขบวนการ BRN กับกองทัพไทยมาตลอดระยะเวลา 16 ปี ล้วนแล้วกำลังเผชิญวิกฤติของโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ที่หนักหนาสาหัสมาก

เพื่อการปกปักรักษาชีวิตตนเองของผู้คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จากโรคระบาดไวรัสโควิด-19 เป็นไปอย่างแข็งขันและรวมพลังสานสามัคคีจากทุกภาคส่วนในสังคมอย่างมีสติและมีสมาธิ ข้ามมิติความต่างในทุกๆมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ความคิดทางการเมือง และอื่นๆ เหลือเพียงแต่ความรักในความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่สุด ที่จะต้องไม่มีปัญหาอื่นมาทับซ้อนในภาวะการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองของประชาชนและรัฐเองก็มีข้อจำกัดในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในมาตรฐานที่ประชาชนอุ่นใจและไว้วางใจได้

สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา(LEMPAR) จึงขอเรียกร้องรัฐและBRN โปรดเห็นแก่ความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง ด้วยการดำเนินการยุติปฏิบัติการทางอาวุธหรือการสู้รบกันอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ควบคุมได้ โดยไม่ส่งผลเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของผู้คนและพี่น้องประชาชนอีกต่อไป

ไม่เพียงแค่การออกแถลงการณ์ ก่อนหน้านี้ LAMPAR ได้ดำเนินกิจกรรมในชุมชนต่างๆ เพื่อสำรวจความเข้าใจและรับฟังเสียงสะท้อนจากชุมชนภายใต้ชื่อกิจกรรม “สันติวิธีชุมชนสู่สันติสุขจชต.” และหนึ่งในชุมชนที่สำรวจ คือ ชุมชนกือเม็ง จ.ยะลา และชุมชนตันหยงปาว์ จ.ปัตตานี

ตูแวดานียา ตูแวแมแง แกนหลักสำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา ระบว่ากิจกรรมนี้ มีที่มาจากการทำเสวนาวิจัยร่วมกับอาจารย์อาทิตย์ ทองอินทร์ ในหัวข้อ “ความคิดและปฏิบัติการทางการเมืองของผู้คนในพื้นที่สีแดง” แต่ครั้งนั้นกลุ่มเป้าหมายนั้นจะเป็นเฉพาะตัวแทนของกลุ่มพลังต่างๆในชุมชนกลุ่มละ3-4คน ทั้งหมด6กลุ่มพลังดังนี้ 1.ฝ่ายปกครอง(กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน) 2.ฝ่ายบริหาร(อบต.) 3.ฝ่ายมัสยิด 4.ฝ่ายตาดีกา 5.ฝ่ายสตรี 6.ฝ่ายเยาวชน ไม่เหมือนกับวันนี้ซึ่งเป็นการเสวนาวิจัยที่กลุ่มเป้าหมายคือชาวบ้านทั่วไปที่สนใจและมีเวลาในการมาร่วมแลกเปลี่ยนเพื่อร่วมกันสร้างสันติสุขในบ้านเราให้เกิดขึ้นจริงด้วยมือเราเองโดยจะให้ผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการความคาดหวังต่ออนาคตของบ้านของตัวเอง ชุมชนของตัวเองที่เป็นสันติสุขนั้นควรเป็นอย่างไร

ตูแวดานียา ยังได้ทำความเข้าใจในรูปแบบหรือโมเดลเกี่ยวกับกลไกหรือโครงสร้างการเมืองการปกครองหรือการบริหารจัดการสังคมที่อยู่ในกลุ่มของตัวเองและให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนเพื่อนำเสนอ ซึ่งค่อนข้างจะมีความสนใจไม่น้อย โดยตัวอย่างที่ชุมชนนำเสนอนั้น อาทิ โมเดลกลุ่มแรก การเมืองเป็นตัวกำหนดหรือตัวกำกับทิศทางของทุกประเด็นสาระสำคัญในการใช้ชีวิตคือเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา โมเดลกลุ่มที่สอง ศาสนาเป็นตัวกำหนดหรือตัวกำกับทิศทางของทุกประเด็นสาระสำคัญในการใช้ชีวิตคือ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม โมเดลกลุ่มที่สาม การเมืองและศาสนาเป็นตัวกำหนดหรือตัวกำกับทิศทางของทุกประเด็นสาระสำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกันไม่มีใครเหนือกว่าใครแต่บทบาทหน้าที่ต่างกัน การเมืองทำหน้าที่ฝ่ายปกครองบริหารและการจัดการบ้านเมืองซึ่งมีประเด็นสาระสำคัญคือ เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม และศาสนาทำหน้าเป็นนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ

นอกจากนี้ตูแวดานียายังบอกอีกว่ามีตัวแทนชาวบ้านอธิบาย เกี่ยวกับการปกครองหรือการบริหารพื้นที่จชต.มีความพิเศษไม่เหมือนพื้นที่อื่นโดยจะต้องควบคู่ระหว่างการเมืองกับศาสนา กล่าวคือฝ่ายการเมืองจะต้องมาจากกระบวนการที่ยึดโยงกับประชาชนไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งโดยงตรงหรือการเลือกโดยผ่านคณะซูรอก็ได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายศาสนาจะต้องเป็นทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ คอยตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจฝ่ายการเมือง โมเดลตามรูปจึงเป็นโมเดลที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดกับจชต.และผู้เข้าร่วมเชื่อว่าสันติสุขสันติภาพจะเกิดขึ้นแน่นอน หากสังคมจชต.ได้รับการกำกับดูแลด้วยโครงสร้างการปกครองหรือการบริหารแบบนี้

อนึ่งการสำรวจความคิดเห็นชาวบ้านผ่านกิจกรรมครั้งนี้ เป็นเหมือนการหยั่งเสียงซึ่ง ตูแวดานียา สรุปให้ฟังว่า ชาวบ้านให้ความสนใจ เรื่องที่หนึ่ง คือเรื่องความปลอดภัยความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินและเรื่องการเมืองการปกครองการบริหารชุมชน เรื่องที่สอง คือ เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เรื่องที่สาม คือเรื่องปัญหาสังคม

แต่ ที่เป็นตลกร้าย คือ คู่ขัดแย้งต่างให้ความสนใจหากไม่ใช่ในเรื่องดินแดนแล้ว ก็คงเป็นผลประโยชน์กลุ่มการเมือง..