หน้าแรก ข่าวต่างประเทศ

“ทรัมป์” เผยอาจเดินทางไปเปิดสถานทูตสหรัฐฯ ที่ “เยรูซาเลม” ด้วยตัวเอง

รอยเตอร์ – ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลประกาศจับมือต่อต้านอิทธิพลของอิหร่านในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (5 มี.ค.) ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ แย้มว่าตนอาจเดินทางไปเปิดสถานทูตสหรัฐฯ ในนครเยรูซาเลมด้วยตนเอง

การที่ ทรัมป์ ตัดสินใจรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงอิสราเอล รวมถึงจะย้ายสถานทูตอเมริกันจากกรุงเทลอาวีฟไปยังนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ถือเป็นการละทิ้งจุดยืนที่สหรัฐอเมริกายึดถือมานานหลายสิบปี สร้างความโกรธแค้นแก่บรรดาชาติพันธมิตรในโลกอาหรับ และยังบั่นทอนความพยายามของวอชิงตันที่จะเป็นคนกลางฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง

ระหว่างแถลงข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่พร้อมกับผู้นำอิสราเอล ทรัมป์ ยอมรับว่ากำลังพิจารณาแผนเดินทางไปเยือนเยรูซาเลมครั้งที่ 2 ในฐานะประธานาธิบดี เพื่อร่วมพิธีเปิดสถานทูตสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค. นี้

“เรากำลังคิดเรื่องการไปเยือน” ทรัมป์ ระบุ “ถ้าไปได้ ผมก็จะไป”

เนทันยาฮู เดินทางเยือนสหรัฐฯ เป็นเวลา 5 วัน หลังจากที่เพิ่งจะถูกตำรวจสอบปากคำที่บ้านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (2) ด้วยข้อหาคอร์รัปชันซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขา

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และอิสราเอลเปิดเผยว่า ประเด็นหารือหลักระหว่าง ทรัมป์ และ เนทันยาฮู ก็คือการพยายามเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ที่อิหร่านทำร่วมกับกลุ่มมหาอำนาจ P5+1 เมื่อปี 2015 รวมถึงอิทธิพลของอิหร่านในซีเรีย

ทั้ง ทรัมป์ และ เนทันยาฮู ต่างวิจารณ์ว่าข้อตกลงฉบับนี้บังคับใช้ในระยะเวลาอันจำกัด และยังไม่ครอบคลุมถึงโครงการพัฒนาขีปนาวุธ หรือการที่อิหร่านจะยื่นมือเข้าไปสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านอิสราเอล

“ถ้าถามผมว่าอะไรคือปัญหาท้าทายที่สุดในตะวันออกกลางสำหรับเราทั้งสองประเทศและเพื่อนบ้านอาหรับ ก็ตอบได้สั้นๆ คำเดียวเลยว่า อิหร่าน” เนทันยาฮู กล่าว

“อิหร่านจะต้องถูกยับยั้ง นี่คือความท้าทายที่เรามีร่วมกัน”

ทรัมป์ ขู่จะนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์ หากชาติพันธมิตรยุโรปไม่ช่วยผลักดันข้อตกลงฉบับใหม่ที่มีการแก้เงื่อนไขให้เหมาะสม

เนทันายาฮู เผยว่า ตนและ ทรัมป์ ได้พูดคุยเรื่องซีเรีย อิรัก เลบานอน และปาเลสไตน์ แต่บทสนทนาครึ่งหนึ่งเน้นไปที่อิหร่าน ซึ่งกินเวลานานกว่าที่กำหนดเอาไว้ถึง 1 ชั่วโมง

อิสราเอลกล่าวหาอิหร่านว่าพยายามแผ่อิทธิพลทางทหารเข้าไปในซีเรียอย่างถาวร โดยส่งกองกำลังเข้าไปช่วยรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ทำสงครามกับพวกกบฏ

เนทันยาฮู ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกับ ทรัมป์ เป็นพิเศษยังเตือนด้วยว่า อิสราเอลพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ หลังจากโดรนอิหร่านรุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าอิสราเอลเมื่อเดือนที่แล้ว และเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพยิวลำหนึ่งก็ถูกยิงตกหลังเข้าไปโจมตีระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านในซีเรีย

ผู้นำอิสราเอลยังกล่าวหาอิหร่านว่ามีแผนใช้เลบานอนเป็นฐานสร้างโรงงานผลิตขีปนาวุธนำวิถี

ทรัมป์ แนะนำให้ปาเลสไตน์ยอมหวนกลับสู่การเจรจา เพราะไม่เช่นนั้น “คุณก็จะหาสันติภาพไม่เจอ”

ประธานาธิบดี มะห์มูด อับบาส แห่งปาเลสไตน์ซึ่งโกรธที่ ทรัมป์ รับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงยิว ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพที่อเมริกาเป็นคนกลาง ซึ่งทำให้ ทรัมป์ ต้องชะลอการเสนอแผนสันติภาพไปด้วย

ทรัมป์ ได้มอบหมายให้ เจเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยและที่ปรึกษาคนสนิท รับหน้าที่ดูแลการเจรจาสันติภาพระหว่างยิวและปาเลสไตน์ แต่เวลานี้ คุชเนอร์ กำลังตกเป็นเป้าหมายในการสืบสวนกรณีรัสเซียแทรกแซงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 และล่าสุดยังหมดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งก็ทำให้นักวิเคราะห์บางคนเริ่มไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของเขาที่จะผลักดันกระบวนการสันติภาพตะวันออกกลาง

ก่อนหน้านี้ คุชเนอร์ ได้รับอนุญาตชั่วคราวให้เข้าถึงข้อมูลชั้นความลับของสหรัฐฯ มานานกว่า 1 ปี และเพิ่งจะถูกลดชั้นการเข้าถึงข้อมูลเมื่อไม่นานนี้ หลังจากที่ จอห์น เคลลี ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้สั่งเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ

อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวยืนยันว่า การถูกลดชั้นเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการปฏิบัติงานของ คุชเนอร์

ที่มา: mgronline