
นายกรัฐมนตรี นาจิบ ตน ราซัค ของมาเลเซีย เปิดเผยว่า รัฐบาลประเทศมาเลเซียยืนยันพร้อมให้ความช่วยเหลือรัฐบาลไทย ต่อการเจรจาการสร้างสันติภาพทางภาคใต้ของไทยระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มเคลื่อนไหวติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ทางภาคใต้ของไทย เว็บไซต์ bharian ของมาเลเซียรายงาน
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลมาเลเซียและรัฐบาลไทย มีความจริงใจในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นตลอดไป เพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศที่อยู่ในความสงบสุข
“หนึ่งในความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลมาเลเซียก็คือ พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการแสวงหาสันติภาพให้เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทยในอนาคต”
“เราเห็นว่าสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับผิดชอบร่วมกันในเรื่องนี้ และรู้สึกมีความภาคภูมิใจที่มาเลเซียได้รับหน้าที่อันมีเกียรติ์นี้ ในการรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการสร้างสันติภาพดังกล่าว” นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าว ซึ่งถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
ทั้งนี้นาจิบ ตน ราซัค พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ได้เข้าร่วมหารือร่วมกันในการประชุมประจำปีระหว่างรัฐบาลมาเลเซียกับรัฐบาลไทยครั้งที่ 6 ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือความชัดเจนในหลายๆ เรื่อง ซึ่งร่วมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคงและปัญหาตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ
นาจิบ ยังกล่าวด้วยว่า การหารือนั้นได้มีการตกลงร่วมกันกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องการทำงานร่วมกันในการรับมือกับปัญกาภัยแทรกซ้อนจากผู้ไม่หวังดี ที่อาจเป็นภัยคุกคามความสงบสุขของทั้งสองประเทศ
“ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ความสำคัญของเราก็คือการหารือในความชัดเจนของมาตรการในการรักษาความมั่นคงของประเทศและความสงบสุขของประชาชนตลอดไป”
“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราเริ่มได้รับการเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่คอยคุกคามความสงบสุขของประเทศ เราจำเป็นที่จะต้องปกป้องรักษาความปลอดภัยประชาชนของเรา ด้วยการนำประเด็นความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญ” เขากล่าว
ในด้านเศรษฐกิจ นาจิบ กล่าวว่า ทางรัฐบาลมาเลเซียและรัฐบาลไทยมีความเห็นร่วมกันในการที่จะยกระดับมูลค่าการค้าและการลงทุนของทั้งสองประเทศก่อนปี 2018
“เป้าหมายสำคัญของเราก็คือ เพื่อเป็นการสร้างงานให้กับคนทั้งสองประเทศสามารถยกระดับและมีประโยชน์ร่วมกัน”
“ในด้านเศรฐกิจแล้วตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศแล้วเชื่อว่า อาจนำมาซึ่งความเจริญในด้านเศรษฐกิจและความมั่งคั่งให้กับคนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศได้ในอนาคต” เขากล่าว