กลุ่มกองกำลังทหารของรัฐอิสลามหรือไอซิส กำลังมีการขยายเผยแผ่อิทธิพลของตนเข้ามาสู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกฉัยงใต้ หลังจากที่ได้ประสบกับความพ่ายแพ้ในประเทศอิรักและซีเรีย
นายอะฮ์หมัด อัลมูฮัมมาดีย์ ที่ปรึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งสำนักพระราชวังของมาเลเซีย ได้กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับการคุกคามการก่อการร้าย
เมื่อเดือนพฤษภาคม ทางด้านเจ้าหน้าที่สืบสวนจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเปิดเผยว่า กองกำลังไอซิสได้ประสบปัญหาการกำลังสูญเสียพื้นที่ยึดครองประมาณ 45 % ที่มีอยู่ในประเทศอิรักและอีก 10 % ในประเทศซีเรีย
“พื้นที่ที่ถูกยึดครองโดยกองกำลังไอซิสซึ่งตอนนี้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และนี่คือถือเป็นการต่อสู้ด้านภูมิศาสตร์สำหรับพวกเขาเช่นกัน และแม้กระทั่งบรรดากลุ่มผู้ติดตามในโลกไซเบอร์เอง ที่ต่างตั้งคำถามมากมายต่อสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น” นายอะฮ์หมัด กล่าว ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยนานาชาติมาเลเซีย
“เหตุใดกลุ่มไอซิสยังคงได้รับการสนุบสนุน? เพราะพวกเขาอยากให้เกิดความขัดแย้งในระดับสอง นั่นก็คือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือความขัดแย้งในระดับสาม นั่นก็คือระหว่างในภูมิภาคเอเชีย”
เขายังกล่าวแสดงความคิดเห็นมากมายในการให้สัมภาษณ์ในรายการ Conversation With เกี่ยวกับเบื้องหลังการเข้ามาของไอซิสในภูมิภาคแห่งนี้
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีคนเสียชีวิตจากเหตุโจมตีที่กรุงจการ์ต้าจำนวนเจ็ดคน ที่อ้างว่าเป็นการกระทำของกลุ่มไอซีส

และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเช่นกัน เกิดเหตุผู้ต้องสงสัยสองคนได้โยนวัตถุระเบิดเข้าไปในคลับแห่งหนึ่งที่เมืองปูชง ที่ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนแปดคน ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นในมาเลเซียที่ปฏิบัติการณ์โดยเครื่อข่ายไอซีสในมาเลเซีย
เมื่อเดือนที่แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชาวมาเลเซียที่เชื่อว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุระเบิดที่มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มไอซิส ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดอุปกรณ์การทำระเบิดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ที่เชื่อว่าที่มีการเตรียมการใช้สำหรับการก่อเหตุในการโจมตีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมาเลเซีย
จับตามองอันตรายของกลุ่มไอซิสที่หวนกลับมายังบ้านเกิด
และทางกองกำลังรัฐอิสลามยังได้ระบุด้วยว่า ตอนนี้กำลังพุ่งมายังภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ในวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เรียกร้องไปยังผู้สนับสนุนของพวกเขา ให้พุ่งเป้าไปที่ประเทศมาเลเซียและฟิลิปปินส์
ปรากฏภาพชายหนุ่มชาวอินโดนีเซียที่ถูกเผยแพร่ออกมาในวิดีโอดังกล่าว ที่กำลังยิงกระสุนปืนจากอาวุธและได้เผาทำลายหนังสือเดินทางของพวกเขา และทางกลุ่มไอซิสเองยังได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ในภาษามลายูฉบับแรก ที่ชื่อว่า อัลฟาตีฮีน ที่เพิ่งถูกระงับโดยรัฐบาลสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งอยู่ในห้วงเดือนรอมฏอนพอดี.

ทางหน่วยสืบสวนด้านความมั่นคง ได้คาดการณ์ว่าอย่างน้อยมีจำนวน 700 ที่เป็นชาวอินโดนีเซียและอีก 100 คนเป็นชาวมาเลเซีย ที่กำลังเข้าร่วมการสู้รบในตะวันออกกลาง ซึ่งบางส่วนของพวกเขาได้ก่อตั้งขยายแผ่กิ่งก้านสาขาของไอซิสทางด้านเอเชีย กาตีบุนนูซันตารา เมื่อปี 2014
อย่างไรก็ตามสำหรับสมาชิกกองกำลังของกลุ่มไอซิสที่เดินทางกลับบ้านเกิด ย่อมมีความอันตรายมากกว่าเมื่อเทียบกับสมาชิกที่อยู่นอกประเทศที่เข้าร่วมรบกับกองกำลังไอซิส นายอะฮ์หมัด กล่าว ที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำศาลของมาเลเซีย ที่ข้องเกี่ยวกับกลุ่มเคลื่อนไหวอัลกออีดะฮ์ในแถบหมู่เกาะมลายูเมื่อปี 2015
“และเมื่อพวกเขาเหล่านั้นเดินทางกลับบ้านเกิด พวกเขาอาจกลับมาพร้อมกับแนวคิดของพวกเขา ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการสู้รบ และพวกเขาพร้อมที่จะปฏิบัติการที่นี่” เขากล่าว
อย่างน้อยมีชาวอินโดนีเซียจำนวน 100 คน ที่เข้าร่วมสู้รบในประเทศอิรักและซีเรียที่เข้าร่วมกับกลุ่มไอซิสที่ได้เดินทางกลับประเทศของตน หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของอินโดนีเซีย ซูติโซโย ได้กล่าวไว้เมื่อเดือน พฤศจิกายน ปีที่แล้ว
แนวคิดกลุ่มผู้ถูกจับกุม
เพื่อให้เข้าใจถึงแนวคิดสุดโต่งที่ถูกจับกุมตัวโดยฝ่ายความมั่นคงโดยหลายๆ ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ไทย และสิงคโปร์ ที่ได้ดำเนินการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูแนวคิดใหม่ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการดังกล่าวในมาเลเซีย นายอะฮ์หมัด อัลมูฮัมมาดีย์ กล่าวว่า ตอนนี้สามารถควบคุมตัวไปแล้ว 50 คน บางคนมีอายุแค่ 14 ปี
“พวกเขากล่าวว่า ผมไม่คิดว่าการกระทำของผมเป็นความผิด ไม่มีความรู้หรือไม่รู้เกี่ยวกับอิสลาม ที่อาจทำให้พวกเขามิอาจแยะแยะอันไหนเท็จอันไหนจริง”
“ค่อนข้างมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปลูกฝังแนวคิดในปะเทศมุสลิมด้วยแนวคิดอิสลามที่ถูกต้อง” เขากล่าว
อย่างไรก็ตามเขายังคงคาดกวังว่ากลุ่มไอซีสอาจสามารถกวาดล้างได้
“หากว่ารัฐบาล ประชาชน และสังคม ต่างให้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและกลุ่มปัญญาชนมุสลิมที่สามารถมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าเราสามารถลดทอนอิทธิพลของพวกเขา”เขากล่าว
http://berita.mediacorp.sg/mobilem/world/pakar-isis-sasarkan-asia/3010464.html