อัคบาร์ ชายหนุ่มจากอาเจะห์เกือบจะเข้าร่วมรบกับกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลามแล้ว ในช่วงที่เขากำลังศึกษาอยู่ในประเทศตุรกี
แต่เขาได้เก็บความตั้งใจนั้นไว้ในที่สุด เมื่อเขานึกถึงเสียงร้องไห้ของผู้เป็นแม่ขึ้นมา ที่ไม่ปรารถนากับการเข้าร่วมดังกล่าวอย่างที่เขาปรารถนา
ณ ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งที่เมืองซูโซห ทางตอนเหนือของอาเจะห์ดายา เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2012 เตงกู อัคบาร์ เมาลานา พร้อมด้วยคุณพ่อของเขา ได้มีการพบปะกันกับชาวตุรกีคนหนึ่งที่ได้เสนอทุนเรียนต่อที่ประเทศตุรกีฟรี
ซึ่งอัคบาร์ ณ ตอนนั้น กำลังอยู่ในช่วงมัธยมปลายพอดี เกิดมีความสนใจและได้จำนงลงทะเบียนในที่สุด ซึ่งเขาเองเป็นนักศึกษาที่เรียนดีคนหนึ่ง
เขาเองเคยได้รับการเสนอทุนการศึกษามาหลายที่แล้ว แต่ด้วยความที่ว่าตัวเองอยากจะไปเรียนตุรกีด้วย ทำให้เขาต้องยกเลิกกับทุนที่เขาแสดงเจตจำนงก่อนหน้านั้นทั้งหมด และแล้วเขาถูกตอบรับเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนานาชาติตุรกีอานาโตเลียมุสตาฟาอิหม่ามตาติบ เมื่อปี 2012
เมื่อปี 2014 ด้วยความที่อยู่ในวัยแห่งความรุ่มร้อนในวัยหนุ่ม เขาจึงได้ศึกษาค้นคว้าทางโลกออนไลน์ต่างๆ เช่นเฟสบุ๊ค
และหลังจากนั้นเพียงสองเดือน เขาได้มีการติดต่อกับคนคนหนึ่ง ที่พยายามที่จะถ่ายทอดแนวคิดและรูปแบบของกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม ที่มักจะนำเสนอเหตุการณ์นองเลือดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศซีเรีย
โดยขาดการรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่กำลังเกิดขึ้นที่ซีเรีย ในขณะที่อัคบาร์ในขณะนั้นมีความเข้าใจว่า นั่นถือเป็นหน้าที่ของเขาแล้วในการเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่อยู่ซีเรีย

ประกอบความที่มีไฟแรงของคนวัยหนุ่ม สุดท้ายแล้วเขาได้มีความเชื่อมั่นดีว่าการมีชีวิตอยู่ไปวันๆ กับการได้รับชาฮีด
การพบปะกันในโรงอาหารเคบบับ
และแล้วเมื่อปี 2014 โดยไม่ได้ตั้งใจเขาได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ นูรฮูดา อิสมาแอล ในโรงอาหารเคบับแห่งหนึ่งในตุรกี
นูรฮุดา เคยได้รับการปลูกฝังแนวคิดแบบสุดโต่ง ณ สถาบันการศึกษาศาสนาแห่งหนึ่งที่เมืองโซโล ในชวาตอนกลาง
และแล้วด้วยความที่เป็นคนคิดวิเคราะห์ทุกอย่าง เขาปรารถนาที่จะปลดปล่อยจากแนวคิดที่เขาได้รับมา ที่ต่อมาเขาได้กลายมาเป็นนักกิจกรรมที่ต่อต้านการก่อความรุนแรงทุกรูปแบบ เมื่อเขาได้รับรู้ว่าเพื่อนเขาคนหนึ่งที่เคยเรียนมาด้วยกันได้ทำการระเบิดพลีชีพตนเองที่เกาะบาหลี เมื่อปี 2002
และที่นี่เองอัคบาร์ได้ให้ดูรูปภาพเซลฟีของเพื่อนในเฟสบุ๊คคนหนึ่งที่ถ่ายพร้อมกับอาวุธในมือ
สำหรับอัคบาร์แล้ว การได้มีอาวุธสงครามอยู่กับตัวทำให้ดูเป็นชายชาตรีมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาต้องการจะร่วมรบกับกองกำลังไอเอส เพื่อให้เห็นดูเป็นความเป็นชายมากยิ่งขึ้น
การพบกันในครั้งนั้น ช่างมีความหมายยิ่งนัก ที่ทำให้เขาต้องกลับมาตั้งคำถามกับคำว่าจีฮาดดังกล่าวเสียใหม่
ประกอบกับการที่คุณแม่ของเขาได้ร้องขอไม่ให้เข้าร่วมรบที่ซีเรีย และเมื่อโรงเรียนหยุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2014 เขาได้ถือโอกาสกลับมายังอินโดนีเซีย โดยเปลี่ยนใจจากการที่จะไปจีฮาดที่ซีเรีย
และไม่ใช่อัคบาร์ คนเดียวเท่านั้น ที่อยากจะไปร่วมรบที่ซีเรีย
เพื่อนสนิมของเขาสองคนก็มีความสนใจอยากจะเข้าร่วมเช่นกัน ที่ถูกชักชวนผ่านเข้ามาทางโลกออนไลน์

น่าเสียใจที่ทั้งสองยังคงยืนหยัดในจุดยืนของเขา เสียงร้องไห้ของคุณแม่ของเขามิอาจที่จะยับยั้งความตั้งใจอันแน่วแน่ของพวกเขาได้ ซึ่งทั้งสองคนได้ข่าวว่าได้เสียชีวิตลงแล้ว วิลดาร เสียชีวิตที่อิรัก และ บากุส เสียชีวิตที่ซีเรีย
อัคบาร์กล่าวว่า เขายังโชคดีที่เขากลับสำนึกตัวในเวลาที่เหมาะสม
และเกือบที่จะกลายเป็นกองกำลังไอเอสไปแล้ว ซึ่งเมืองที่เขาอยู่กับชายแดนตุรกีกับซีเรียระยะทางแค่ห้าชั่วโมงเท่านั้นในการเดินทาง
ณ ตอนนี้ จีฮาดสำหรับอัคบาร์ก็คือ การเป็นมนุษย์ที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ และเขาตั้งใจไว้ว่าจะศึกษาต่อประเทศอังกฤษ ทางด้านสาขาเทคนิดทางด้านข่าวสาร
และแล้วเรื่องราวของเขา ถูกไปถ่ายทอดอีกทีโดยนูรฮูดา โดยการสร้างบทละคร ที่มีชื่อ จีฮาดเซลฟี ที่พยายามจะโน้มน้าวชักจูงชายหนุ่มอินโดนีเซียได้เข้าร่วมกับกองกำลังไอเอส
นูรฮูดา ที่ตอนนี้กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในสาขาการเมืองที่เกี่ยวกับระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยโมนาส
การเผยแพร่แนวคิดของกลุ่มไอเอสผ่านโซเชียลมีเดีย ที่มักจะมีอิทธิพลสูงต่อชายหนุ่มมลายูอินโดนีเซียให้เข้าร่วมรบกับกลุ่มไอเอส
ตามที่นูรฮูดา ได้กล่าวไว้ก็คือ อย่างน้อยมีนักรบ ไอเอสกว่า 500 คน ที่มาจากอินโดนีเซีย ที่อาสาเข้าไปร่วมรบในซีเรีย