รับบี้เฮเลน ฟรีเมน มิอาจเก็บความรู้สึกประทับใจที่เขารู้สึกไว้คนเดียวได้ หลังจากที่ได้มีโอกาสเข้าไปด้านในมัสยิดกลางของกรุงลอนดอนทางฝั่งตะวันออก (East London Mosque)
ภาพของคนที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่น้อยกว่า 500 คน ที่กำลังนั่งล้อมวงรอเวลาละศีลอด ที่มัสยิดแห่งนี้จะจัดขึ้นทุกๆ วัน
“อิฟตารหรือการละศีลอดร่วมกับคนในชุมชนเช่นนี้ คือเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการทำบริจาคทานของชาวมุสลิมที่มีความงดงามยิ่ง นี่คือที่มันสะกิดใจผมอย่างมาก” รับบี้เฮเลน ฟรีเมน กล่าว
“ฉันรู้สึกประทับใจอย่างมาก….ฉันเหมือนกับช่างมีเกียรติ์อย่างมาก ที่ได้รับประทานสำรับร่วมกันกับชาวมุสลิม และนี่คืออาจเป็นสะพานเชื่อมสำหับชาวมุสลิมทุกคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี”

ตลอดช่วงของเดือนรอมฏอนทางมัสยิดได้มีการเตรียมอาหารละศีลอดแบบไม่อั้น ซึ่งทุกวันจะมีผู้คนเข้าร่วมละศีลอดไม่น้อยกว่า 500 คน
เย็นวันนั้นรับบี้เฮเลน ฟรีเมน พร้อมเหรื่อแขกท่านอื่นๆ ได้เป็นเกีรยติ์สำหรับนายซามานและอิสฮาก ซึ่งเป็นนักกิจกรรมศาสนาคนหนึ่งที่ทำงานด้านศาสนามาเป็นเวลานานเพื่อสร้างความเข้มแข้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวต่างศาสนิก
นอกจากรับบี้เฮเลน ฟรีเมนยังมี นักบวชติม คลัปตันอีกด้วย ที่ได้กล่าวเมื่อช่วงที่คนอิสลาม คริสต์ และยิวกำลังนั่งล้อมวงหน้าสำรับอาหารว่า แท้ที่จริงแล้วพวกเราคือพี่น้องกัน
“ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์นี้คงอาจหยุดอยู่เพียงเท่านี้ เราจะต้องแผ่ขยายมันออกไปสู่ชุมชนอีกด้วย” นักบวชคลัปตันกล่าว
งานร่วมละศีลอดดังกล่าว เริ่มต้นด้วยการบอกกล่าวเล่าเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของมัสยิดดังกล่าว ซึ่งจะมีบทบาทในการพัฒนาชาวมุสลิม และทางแขกผู้เข้าร่วมจะได้รับโอกาสในการเข้าชมบรรยากาศในมัสยิด ตลอดจนการละหมาดมัฆริบแบบญามาอะฮ์อีกด้วย
และมีบางคนในไม่เคยได้มีโอกาสเข้ามัสยิดแม้แต่ครั้งเดียวและการปฏิบติศาสนกิจของชาวมุสลิม

การดำเนินการกิจกรรมการละศีลอดร่วมกับชาวต่างศาสนิก นายซามานกล่าวว่า ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชาวมุสลิมเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างชาวคริสต์และชาวยิวที่อยู่รอบๆ พวกเขา
“เราควรให้ความสำคัญ เราควรจะเคารพกันและกัน”
“ด้วยการยกชีวประวัติของท่านนบีมูฮัมหมัดที่ว่า นบีเองก็เคยไปเยี่ยมเยือนหนุ่มชาวยิวที่กำลังป่วย”
“เพราะนี่คือจะเป็นตัวอย่าง และเราเองจะต้องร่วมมือกัน และต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนต่างศาสนา” เขากล่าว