หน้าแรก ข่าวต่างประเทศ

ความงดงามเดือนรอมฏอนในสายตาของนักบวชยิวและคริสต์

แขกที่ถูกรับเชิญจากท้องถนนเข้าร่วมในงานละศีลอด ณ มัสยิดกลางแห่งกรุงลอนดอน ภาพ BBC INDONESIA

รับบี้เฮเลน ฟรีเมน มิอาจเก็บความรู้สึกประทับใจที่เขารู้สึกไว้คนเดียวได้ หลังจากที่ได้มีโอกาสเข้าไปด้านในมัสยิดกลางของกรุงลอนดอนทางฝั่งตะวันออก (East London Mosque)

ภาพของคนที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่น้อยกว่า 500 คน ที่กำลังนั่งล้อมวงรอเวลาละศีลอด ที่มัสยิดแห่งนี้จะจัดขึ้นทุกๆ วัน

“อิฟตารหรือการละศีลอดร่วมกับคนในชุมชนเช่นนี้ คือเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการทำบริจาคทานของชาวมุสลิมที่มีความงดงามยิ่ง นี่คือที่มันสะกิดใจผมอย่างมาก” รับบี้เฮเลน ฟรีเมน กล่าว

“ฉันรู้สึกประทับใจอย่างมาก….ฉันเหมือนกับช่างมีเกียรติ์อย่างมาก ที่ได้รับประทานสำรับร่วมกันกับชาวมุสลิม และนี่คืออาจเป็นสะพานเชื่อมสำหับชาวมุสลิมทุกคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี”

บรรดาแขกที่ถูกรับเชิญละศีลอดได้มีโอกาสเดินชมบรรยากาศภายในมัสยิด ภาพ BBC INDONESIA

ตลอดช่วงของเดือนรอมฏอนทางมัสยิดได้มีการเตรียมอาหารละศีลอดแบบไม่อั้น ซึ่งทุกวันจะมีผู้คนเข้าร่วมละศีลอดไม่น้อยกว่า 500 คน

เย็นวันนั้นรับบี้เฮเลน ฟรีเมน พร้อมเหรื่อแขกท่านอื่นๆ ได้เป็นเกีรยติ์สำหรับนายซามานและอิสฮาก ซึ่งเป็นนักกิจกรรมศาสนาคนหนึ่งที่ทำงานด้านศาสนามาเป็นเวลานานเพื่อสร้างความเข้มแข้งระหว่างชาวมุสลิมกับชาวต่างศาสนิก

นอกจากรับบี้เฮเลน ฟรีเมนยังมี นักบวชติม คลัปตันอีกด้วย ที่ได้กล่าวเมื่อช่วงที่คนอิสลาม คริสต์ และยิวกำลังนั่งล้อมวงหน้าสำรับอาหารว่า แท้ที่จริงแล้วพวกเราคือพี่น้องกัน

“ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์นี้คงอาจหยุดอยู่เพียงเท่านี้ เราจะต้องแผ่ขยายมันออกไปสู่ชุมชนอีกด้วย” นักบวชคลัปตันกล่าว

งานร่วมละศีลอดดังกล่าว เริ่มต้นด้วยการบอกกล่าวเล่าเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของมัสยิดดังกล่าว ซึ่งจะมีบทบาทในการพัฒนาชาวมุสลิม และทางแขกผู้เข้าร่วมจะได้รับโอกาสในการเข้าชมบรรยากาศในมัสยิด ตลอดจนการละหมาดมัฆริบแบบญามาอะฮ์อีกด้วย

และมีบางคนในไม่เคยได้มีโอกาสเข้ามัสยิดแม้แต่ครั้งเดียวและการปฏิบติศาสนกิจของชาวมุสลิม

การละศีลอดร่วมกันเช่นนี้สามารถสร้างคุณค่าของความปรองดองได้ดีระหว่างคนในชุมชน ภาพ BBC INDONESIA
การละศีลอดร่วมกันเช่นนี้สามารถสร้างคุณค่าของความปรองดองได้ดีระหว่างคนในชุมชน ภาพ BBC INDONESIA

การดำเนินการกิจกรรมการละศีลอดร่วมกับชาวต่างศาสนิก นายซามานกล่าวว่า ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชาวมุสลิมเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างชาวคริสต์และชาวยิวที่อยู่รอบๆ พวกเขา

“เราควรให้ความสำคัญ เราควรจะเคารพกันและกัน”

“ด้วยการยกชีวประวัติของท่านนบีมูฮัมหมัดที่ว่า นบีเองก็เคยไปเยี่ยมเยือนหนุ่มชาวยิวที่กำลังป่วย”

“เพราะนี่คือจะเป็นตัวอย่าง และเราเองจะต้องร่วมมือกัน และต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนต่างศาสนา” เขากล่าว

ที่มา http://www.bbc.com/indonesia/majalah/2016/06/160628_majalah_ramadan_iftar_lintasagama?ocid=socialflow_facebook