รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียนายยูโซฟ คัลล่า ได้แสดงความเห็นต่อท่าทีของว่าที่ผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีต่อชาวมุสลิม
นายยูโซฟ คัลล่ากล่าวว่า “การเลือกปฏิบัติทางศาสนา” อาจส่งผลกระทบการตอบโต้ในเชิงนโยบายจากประเทศต่างๆ
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ นายยูโซฟ คัลล่า กล่าวว่า ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย “ค่อนข้างไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งต่อท่าทีของนายทรัมป์” ซึ่งเป็นว่าที่ผู้สมัครท้าชิงตำแน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่มาจากพรรคริพับลีกันในการเลือกตั้งทั่วไปประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้
นี่เป็นการแสดงความเห็นครั้งแรกที่เป็นการกล่าวตำหนิต่อท่าทีนโยบายของนายทรัมป์ ที่มาจากผู้นำรัฐบาลระดับสูงของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ที่เป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมที่มากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ทั้งนั้นนายทรัมป์เองยังได้นำเสนอในที่ประชุม ที่ได้มีความพยายามในการหาหนทางในการควบคุมประชาชนภายในประเทศเพื่อการยับยั้งและป้องกันการก่ออาชญากรรม
“ในฐานะที่เป็นประเทศมหาอำนาจ ที่เห็นว่าได้มีการร่างนโยบายแห่งชาติแบบสุดโต่งหรือการเลือกปฏิบัติในทางศาสนา ซึ่งย่อมจะส่งผลร้ายอย่างแน่นอน” นายยูโซฟ คัลล่า กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์
อินโดนีเซียเตรียมแผนการในการบอยคอตกิจการทางการค้าของสหรัฐฯ หากนายทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
การวิพากษ์วิจารณ์ของนายทรัมป์ที่ได้สร้างกระแสปลุกระดมความเกียดชังที่มีต่อชาวมุสลิม รวมทั้งการสั่งห้ามชาวมุสลิมในการเข้าออกประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย และหลักการนโยบายด้านการต่างประเทศของนายทรัมป์เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศที่เขาอาจดำเนินการในอนาคต ซึ่งสิ่งนี้ที่กำลังเป็นที่น่ากังวลของบรรดาประเทศในกลุ่มอาเซียน
นี่หรือภาพลักษณ์ของอเมริกาภายใต้การนำของนายทรัมป์ในอนาคต หากเขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่มีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้?
อินโดนีเซียในฐานะที่เป็นตลาดทางการค้าที่มีมูลค่ามหาศาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตอนนี้ได้มีความชั่งใจที่จะงัดแผนการในการสกัดกั้นทางการค้าและการลงทุนของสหรัฐอเมริกาในอนาคตหากเขาได้เป็นประธานาธิบดี
ในขณะที่ความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ตอนนี้ ที่ได้มีการล่ารายชื่อลงนามในการสั่งห้ามนายทรัมป์ตลอดจนการค้าการลงทุนของสหรัฐฯ ในการเข้ามาในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จนถึงตอนนี้ได้ทะลุถึง 47,000 คนแล้ว
การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของนายทรัมป์ในประเทศอินโดนีเซียอาจถูกคุกคาม
ทางเจ้าหน้าที่ในอินโดนีเซียมีการรายงานว่า ธุรกิจการลงทุนของนายทรัมป์ที่ร่วมลงทุนในธุรกิจรีสอร์ทชั้นนำที่เกาะบาหลีและในชวา อาจได้รับการคุกคามจากท่าที่อันแข้งกร้าวนี้
สำหรับโรงแรมโฮเทลโคเลคชั่นของนายทรัมป์เมื่อปีที่แล้ว ที่ได้ประกาศร่วมลงทุนกับทางบริษัทพีทีมีเดียนูซันตาราชีตราของอินโดนีเซีย เพื่อจัดการบริหารกจการแห่งใหม่ที่เกาะบาหลีและชวาเหนือดังกล่าว ที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แรกในเอเชีย
เมื่อถูกถามว่าเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของนายทรัมป์ในส่วนของกิจการรีสอรืทดังกล่าว นายยูโซฟ คัลล่า ได้ส่งคำเตือนว่า “แน่นอนคงจะได้รับผลกระทบ แต่ไม่ใช่เกิดกับอินโดนีเซีย แต่เป็นธุรกิจของเขาเอง”
รองประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนนี้ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตอนนี้ทางรัฐบาลเพียงแค่เตรียมการและคอยเฝ้าติดตามดู เพราะว่าการวิพากวิจารณ์ของนายทรัมป์นั้นอาจเป็นการโฆษณาชวนเชื่อในเชิงยุทศาสตร์เท่านั้นก็เป็นได้
“การโฆษณาชวนเชื่อเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และความเป็นจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ท่าทีของสิงคโปร์ที่มีต่อนายทรัมป์
ในขณะที่ท่าทีอันแข้งกร้าวที่ค่อนข้างรุนแรงจากทางด้านของผู้นำรัฐบาลสิงคโปร์เอง ที่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับนายทรัมป์ ในงานเลี้ยงละศีลอดแห่งหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เค ซันมูกัม ได้กล่าวว่า ตอนนี้สังคมมุสลิมในยุโรปและอเมริกากำลังถูกคุกคามจากกลุ่มที่ต่อต้านชาวมุสลิมเช่นกัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสิงคโปร์ได้กล่าวอีกว่า ในประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีต้นทุนทางการเมืองอยู่แล้วในด้านการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนด้วยกัน ด้วยการหยิบยกประเด็นทางเชื้อชาติและศาสนา นั่นก็คือด้วยการกระพือความหวาดกลัว
การกระทำดังกล่าวไม่อาจที่จะรับได้และท่านเองเห็นว่าควรได้รับการตำหนิในด้านศีลธรรม
“ผู้ที่มีอำนาจที่ดำรงตำแหน่งในระดับสูงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีท่าทีเช่นนั้น ที่สร้างความแตกแยกในสังคมและได้เหยียดหยามชาวมุสลิมของพวกเขา ที่กังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกายุโรปในขณะนี้”
ที่มา http://berita.mediacorp.sg/mobilem/world/indonesia-tidak-suka/2887720.html