
เชคอิกรีมาฮ กล่าวว่า มัสยิดอัล-อักซอ มิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์เท่านั้น หากแต่เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวมุสลิมทั้งมวลรวมไปถึงอินโดนีเซียด้วย
“พวกเราขอชูโกรและขอขอบคุณไปยังพี่น้องชาวอินโดนีเซียทุกคน ไมว่าจะเป็นในฐานะรัฐบาลหรือในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังคงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์มาโดยตลอด” เขากล่าวในงานเลี้ยงเพื่อการกระชับความสัมพันธ์แห่งมิตรภาพแห่งหนึ่ง และร่วมการละศีลอดพร้อมกันที่โรงเรียนบีดาการา เมื่อพฤหัสที่ 4 แห่งเดือนรอมฏอน 1437 ฮฺ
เขากล่าวว่า การมาเยือนอินโดนีเซียในครั้งนี้ ก็เพื่อถ่ายทอดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณที่กำลังเกิดขึ้นในปาเลสไตน์ ณ ปัจจุบัน ซึ่งจนถึงขณะนี้ชนชาติดังกล่าวยังคงถูกกดขี่โดยไซออนิสต์แห่งอิสราเอล
“หวังว่าคงจะสามารถรับรู้ในสิ่งข้อเท็จจริงที่กำลังเกิดขึ้นในแผ่นดินของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงในประเทศหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับระบอบการกดขี่ของนักล่าอาณานิคมไซออนิสต์” เขาชี้แจง
เชคอิกรีมาฮ ยังกล่าวด้วยว่า มัสยิดอัล-อักซอ มิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์เท่านั้น หากแต่เป็นกรรมสิทธิ์ของชาวมุสลิมทั้งมวลรวมไปถึงอินโดนีเซียด้วย
“ซึ่งมันได้เป็นหน้าที่ร่วมกันไปแล้วเพื่อปกป้องจากการถูกดูหมิ่นประมาทและการรุกราน” เขากล่าว
“และชาวปาเลสไตน์ก็เป็นส่วนหนึ่งของชาวมุสลิม เราหวังว่าชาวมุสลิมทุกคนจะร่วมรู้สึกในสิ่งที่ชาวปาเลสไตน์รู้สึก แต่กลับตรงกันข้ามที่ความรับผิดชอบได้ตกอยู่กับชาวปาเลสไตน์ที่เราจะร่วมรับผิดชอบร่วมกัน” เขากล่าว
เขาได้ย้ำอีกว่า คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอัลกุดซ์นั้น เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของชาวมุสลิมทั่วโลก แต่ความรับผิดชอบนั้นกลับเป็นของชาวมุสลิมทุกคน ที่จะต้องร่วมกันปกป้องมัสยิดอัลอักซอดังกล่าว
“และเราเชื่อว่าสื่อจะสามารถถ่ายทอดข้อเท็จจริงได้ เพื่อให้โลกสามารถมองเห็นและรับรู้ ว่าอะไรที่กำลังเกิดขึ้นในมัสยิดอัลอักซอ
อย่างตอนนี้เท่าที่เรารู้ว่าที่นั่นได้มีมูร๊อบบีฎีน ก็คือผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณมัสยิดอัลอักซอเพื่อทำการปกป้อง นี่คือเป็นส่วนสำคัญของสื่อที่จะถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับรู้” เชคได้กล่าวต่อหน้าผู้สื่อข่าว.