เท็ด แฮกกี้ วัย 48 ปี ที่อยู่ในอาการมึนเมาหลังจากที่ดื่มสุราอย่างหนัก ได้กราดยิงเข้าไปยังมัสยิดแห่งหนึ่งด้วยอาวุธปืนพกขนาด 9 มม. และอาวุธสงคราม M14
ส่วนในสเตตัสเฟสบุ๊คส่วนตัวเต็มไปด้วยโพสต์ที่แสดงถึงความเกลียดชังต่อชาวมุสลิม ส่วนหนึ่งของข้อความของเขาระบุว่า “เขาอาศัยอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดหลังดังกล่าวและได้สังเกตดูความเคลื่อนไหวด้วยกล้องส่องทางไกลอยู่บ่อยครั้ง”
บางส่วนของข้อความที่เขาได้ส่งไปยังเพื่อนๆของเขาในโลกออนไลน์ ที่ตำรวจได้รับก็มีความเกลียดชังเช่นกัน ตามการรายงานของวอชิงตันโพสต์
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อห้าเดือนที่แล้ว นั่นก็คือหลังจากเกิดเหตุการณ์การโจมตีอย่างรุนแรงในกรุงปารีส
อย่างไรก็ตามตราบใดที่ยังไม่รู้จักก็คงไม่รู้สึกที่จะรัก ซึ่งนายแฮกกี้เองได้กลับเนื้อกลับใจ และไม่ได้รู้สึกเกลียดชังต่อศาสนาอิสลามตลอดจนมุสลิมแล้ว
“เขามีความบริสุทธิ์เต็มหัวใจ”
ประธานมัสยิดบัยตุลอามาน ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช ไม่ได้รู้สึกโกรธเกลียดชังต่อการกระทำของแฮกกี้แต่ประการใด
ตรงกันข้าม ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช ยังได้เชิญชวนนายแฮกกี้ไปยังมัสยิด ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองคอนเนตทิสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ก่อนหน้านั้นเขาได้ร้องขอไปยังทนายความของเขา เพื่อขอโอกาสขออภัย หลังจากนั้น ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช ได้จัดให้มีการประชุมกันขึ้นมา
และ ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช โมฮัมเหม็ดร ยังได้มอบช็อคโกแลตรูปไข่เนื่องในวาระการเฉลิมฉลองในเทศกาลอีสเตอร์เพื่อเป็นของขวัญให้กับนายแฮกกี้เมื่อไม่นานนี้อีกด้วย
“ในชีวิตผมไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้” ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช กล่าว
“การพบปะกันในครั้งนี้ชั่งมีความสำคัญยิ่งนัก ซึ่งที่เขามาแล้วก็ร้องไห้ ผมรู้สึกได้ถึงความนัยที่มีอยู่ในหัวใจและดวงตาของเขา ที่บ่งบอกถึงความจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ผมมีความรู้สึกว่าเขากล่าวขออภัยที่ออกมาจากใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่ธรรมดา เมื่อท่านได้เห็นคนที่เกลียดตัวคุณ ได้เข้ามาหาและขออภัย” ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช กล่าวเพิ่มเติม
ผมอยากช่วยเหลือคุณในการศึกษาเพิ่มเติม
ตามที่ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช กล่าวว่าเขาควรที่จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกว่านี้และพยายามที่จะดูแลแฮกกี้และภรรยาของเขาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
เขาเสริมอีกว่า ถ้าหากว่าเขาได้ปฏิบัติเช่นที่ว่าก่อนหน้านี้ แฮกกี้ก็คงไม่อาจเก็บความรู้สึกความเกลียดชังต่อศาสนาอิสลามเช่นนี้ได้
แฮกกี้ยังได้รับเชิญไปร่วมงานของอิสลามแห่งหนึ่ง ซึ่งการมาเยือนของเขาชาวมุสลิมได้ให้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
“ในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านกัน จริงๆ แล้วฉันมีความรู้สึกหวาดระแวง แต่แล้วความกลัวเหล่านั้นเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้รับทราบสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเราไม่ได้รู้จักกันเราเลยไม่มีความรู้สึกรักต่อกัน” แฮกกี้กล่าวต่อหน้าผู้มาร่วมงานดังกล่าว
“ในอนาคตผมอยากจะช่วยเหลือให้ได้ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม (กับคนที่ยังไม่มีความเข้าใจต่อศาสนาอิสลาม) และให้การช่วยเหลือคนอื่นๆ เพื่อที่ว่าจะได้ไม่กระทำความผิดพลาดเช่นเดียวกับฉันอีก” แฮกกี้กล่าว
ได้รับคำขอบคุณจากทั่วทุกมุมโลก
ในช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์แฮกกี้กล่าวว่า เขามีความรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก กับความมีน้ำใจเอื้ออารีของชาวมุสลิมที่นั่นที่ได้ให้อภัยแก่เขา” แม้กระทั่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว หนำซ้ำตอนนี้เขายังได้รับเสียงตอบรับกล่าวขอบคุณจากชาวมุสลิมทั่วโลกอีกด้วยอันเนื่องมาจากการกล่าวคำขอโทษของเขา
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาแฮกกี้ได้รับสารภาพในข้อกล่าวหาที่ได้ก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินทางศาสนา ที่ถือเป็นอาชญากรรมภายใต้กฎหมายจากส่วนกลาง
แฮกกี้จะได้รับการตัดสินคดีในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ และอาจถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 14 เดือน
ดร. โมฮัมเหม็ด กุเรช กล่าวว่า มุสลิมที่นี่อาจพยายามดูเพื่อให้ได้รับการลงโทษให้เบาที่สุด
เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นกว่า10 เท่า
ตามการรายงานวอชิงตันโพสต์ระบุว่าอาชญากรรมความเกลียดชังต่อชาวมุสลิมมีอัตราเพิ่มสูงเรื่อยๆ เป็น 10 เท่าภายหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเมื่อปี 2001 มีจำนวนถึง 500 ครั้ง
และเมื่อปี 2014 เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้รวมทั้งสิ้น 154 เหตุการณ์ และจำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ซึ่งมีจำนวนมากครั้งเมื่อเทียบกับก่อนเกิดเหตุการณ์ 9/11
ที่มา http://berita.mediacorp.sg/mobilem/singapore/penduduk-islam-maafkan/2684762.html