หน้าแรก ข่าวต่างประเทศ

เนทันยาฮู เรียกร้องให้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิสราเอลและอินโดนีเซีย

นายกรัฐมนตรีอิสราเอลนายเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่าไม่มีเหตุผลอะไรอีกแล้วสำหรับอิสราเอลและอินโดนีเซียที่จะไม่สานสัมพันธ์ทางการทูต

BBC – นายกรัฐมนตรีอิสราเอลนายเบนจามิน เนทันยาฮู เรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตใหม่ระหว่างรัฐบาลอิสราเอลและรัฐบาลอินโดนีเซีย

ตามที่หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ของอิสราเอลได้รายงานว่า นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ได้กล่าวเรียกร้องกับสำนักข่าวจากประเทศอินโดนีเซียที่ได้มาเยือนอิสราเอลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28/03)

เขากล่าวว่าไม่มีเหตุผลอะไรอีกแล้วสำหรับอิสราเอลและอินโดนีเซียที่จะไม่สร้างสานความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน

“มันถึงแล้วเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระดับความสัมพันธ์ของเรา เพราะเหตุผลที่เป็นอุปสรรคดังกล่าว ไม่มีความเป็นเหตุและผลพอ” เนทันยาฮูกล่าวว่า

เขากล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเยรูซาเล็มและจาการ์ตา จะเป็นพันธมิตรร่วมกันที่อาจสนับสนุนโดยผลประโยชน์ร่วมกันของเรา นั่นก็คือภัยคุกคามจากภัยก่อการร้ายและปัจจัยทางเศรษฐกิจ

“มันถึงเวลาแล้วที่เราจะยกระดับสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างประเทศอินโดนีเซียและอิสราเอล เรายังมีโอกาสอีกมากมายสำหรับความร่วมมือร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี ทรัพยากรน้ำ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย” เนทันยาฮูกล่าว

ข้อตกลงลับร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูได้เรียกร้องให้ชาติอิสราเอลและอินโดนีเซียได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูต หลังจาก 10 วันที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ซีปี โฮโตเวลี (Tzipi Hotovely) ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลข้อตกลงลับระหว่างอิสราเอลและอินโดนีเซีย

โฮโตเวลี ยอมรับว่าทางรัฐบาลอิสราเอลได้มีการส่งเจ้าหน้าที่อาวุโสไปยังกรุงจาการ์ตาจริง เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ที่เมืองรามัลลาฮ์ ในเขตเวสต์แบงก์ เพื่อแต่ตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ของอินโดนีเซียในปาเลสไตน์

ในการพูดคุยดังกล่าว อย่างที่นางโฮโตเวลีออกมาเปิดเผยว่า ทางการอิสราเอลและอินโดนีเซียได้ตกลงกันว่านางเรทโน มาร์ซูดีย์ ควรที่จะไปเยือนอิสราเอลก่อนเป็นลำดับแรก ก่อนที่จะเดินทางไปยังเมืองรามัลลาฮ์  แต่เอาเข้าจริงนางเรทโน ไม่ได้ปฏิบัติเป็นไปตามข้อตกลงดังกล่าว แต่ได้เดินทางไปยังรามัลลาฮ์โดยไม่ได้ไปเยือนอิสราเอลแต่อย่างใด  ดังนั้นโฮโตเวลีกล่าวว่าทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปยังเมืองรามัลลาฮ์ได้

ประธานาธิบดีโจโกวี วีโดโด เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรสินค้าอิสราเอลที่ผลิตในดินแดนที่ถูกยึดครอง
ประธานาธิบดีโจโกวี วีโดโด เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรสินค้าอิสราเอลที่ผลิตในดินแดนที่ถูกยึดครอง

การออกมายอมรับของนางโฮโตเวลี ถูกตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียอัรมานาตา นาซีร ในทันที

“ไม่เคยมีการพูดคุยใด ๆ นับประสาอะไรกับการหารือตกลงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ที่จะไปเยือนกรุงเยรูซาเล็ม” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียอัรมานาตา นาซีร เปิดเผยกับทางบีบีซีอินโดนีเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3/18)

อัรมานาตา ยืนยันว่าแผนการการเตรียมการไปเยือนเมืองรามัลลาฮ์ของนางเรทโน เป็นการประสานงานอย่างเป็นทางการผ่านทางการทูต ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2015 เมื่อปีที่แล้ว โดยเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำรัฐปาเลสไตน์ สถานทูตอินโดนีเซียในกรุงอัมมานแห่งจอร์แดน กับทางปาเลสไตน์และจอร์แดน

กล่าวกันว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซียได้เดินทางโดยใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เดินทางจากอัมมานสู่เมืองรามัลลาฮ์

“ไม่มีการผ่านจุดตรวจ (ด่าน) ของเจ้าหน้าที่อิสราเอลแต่อย่างใด” ​​อัรมาตา กล่าว

อินโดนีเซียและอิสราเอลมีความสัมพันธ์ทางการค้าร่วมกันมาตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีที่แล้ว
อินโดนีเซียและอิสราเอลมีความสัมพันธ์ทางการค้าร่วมกันมาตั้งแต่ประมาณ 2000 ปีที่แล้ว

ความสัมพันธ์ทวิภาคี

จริงอยู่ถึงแม้ว่าอินโดนีเซียและอิสราเอลไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางการทูต แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองประเทศกลับมีความสัมพันธ์ทางการค้ามาตั้งแต่อดีต

ในบันทึกของสำนักงานสถิติกลาง (BPS) ประเทศอินโดนีเซียได้ทำการส่งออกไปยังประเทศอิสราเอลและนำเข้าสินค้าจากประเทศอิสราเอลมาตั้งแต่ปี 2000

ในปี 2015 อินโดนีเซียได้ส่งออกสินค้าต่างๆ ไปยังประเทศอิสราเอลเป็นมูลค่า 116.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และจำนวนมูลค่าได้ลดลงจากปีก่อนหน้านี้ ในปี 2014 ประเทศอินโดนีเซียส่งออกไปยังอิสราเอลเป็นมูลค่ามากถึง 127.2 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในด้านการนำเข้า ประเทศอินโดนีเซียมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในปี 2015 อินโดนีเซียนำเข้าสินค้าจากประเทศอิสราเอลมีเป็นมูลค่ามากถึง 77.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ล้าน เพิ่มขึ้นจาก 13,01 ล้านรูเปีย ในปี 2014

ในขณะเดียวกันในการกล่าวปิดการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศความร่วมมืออิสลาม (OIC) ครั้งวิสามัญ เมื่อวันที่  7 มีนาคม ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจโกวี วีโดโด ยังเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรสินค้าอิสราเอลที่ผลิตในดินแดนที่ถูกยึดครอง

ประธานาธิบดีโจโกวี วีโดโด ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความกดดันเรียกร้องในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศให้กับชาวปาเลสไตน์ “และกำหนดวันสิ้นสุดการยึดครองของอิสราเอล” ​​เขากล่าว