8 มีนาคม ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 730 วัน ของการรอคอยด้วยความหวังของญาติมิตรและครอบครัวของผู้โดยสารเครื่องบิน MH370 ทั้งหมด 239 คนและลูกเรืออีก 12 คน ที่ขาดการติดต่อในขณะเดินทางสู่กรุงปักกิ่งประเทศจีนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 เมื่อสองปีที่แล้ว
จนถึงวันนี้การหายไปของเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของมาเลเซียแอร์ไลน์อย่างปริศนาดังกล่าว ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานแม้แต่เสี้ยวหนึ่ง และไม่มีใครกล้าฟันธงอย่างชัดเจนว่าภารกิจนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รับทราบข่าวเครื่องบิน MH370 ได้หายจากจอเรดาร์เมื่อเวลา 01:21 เมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมิได้นิ่งเฉยไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็งเพื่อค้นหาเครื่องบินดังกล่าวแต่อย่างใด แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้อย่างเป็นรูปธรรมว่า เครื่องบินลำดังกล่าวอยู่ที่ใดหรือตกลง ณ ที่ใด
ระยะเวลากว่าสองปีกับการค้นหาเครื่องบินดังกล่าวถือว่าค่อนข้างนานทีเดียว แต่ถึงกระนั้นมิได้หมายความว่าทางรัฐบาลได้หมดสิ้นความหวังแต่อย่างใดไม่ เพราะด้วยความพยายามทุกวิถีทางรวมถึงความสามารถที่มีอยู่ได้ทุ่มลงไปหมดแล้ว ซึ่งมันไม่เหมือนกับเหตุการณที่ประสบกับเครื่องบิน MH17 ซึ่งเป็นของบริษัทมาเลเซียแอร์ไลน์เช่นกัน ซึ่งถูกยิงลงมาขณะกำลังบินอยู่ในอากาศทางภาคตะวันออกของประเทศยูเครน ที่กำลังเดินทางจากเมืองอัมสเตอร์ดัมไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2014
ผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด และสถานที่เกิดเหตุสามารถตรวจพบได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าความรู้ในความเป็นจริงมิอาจที่จะรับได้ แต่อย่างน้อยสามารถที่จะนำเรือนร่างของผู้เสียชีวิตกลับมายังมาตุภูมิ
เช่นเดียวกับเครื่องบิน QZ8501 แอร์อินโดนีเซีย ที่ได้คร่าชาวมาเลเซียไปหนึ่งคน ในช่วงที่ประสบเหตุตกในช่องแคบกาลีมันตันของอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 28 ธันวาคมในปีเดียวกัน
ในความเป็นจริงแล้วชาวมาเลเซียต่างมีความรู้สึกร่วมกับครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือของ MH370 ซึ่งผู้เขียนเองเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า ‘หากทั้งหมดนั้นได้เสียชีวิตแล้ว แต่เรือนร่างของพวกเขาล่ะอยู่ที่ใดกัน’ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ปรารถนาที่จะเห็นหลักฐานที่พอมีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ที่บ่งบอกว่าเครื่องบิน MH370 ได้ร่วงตกจริงๆ และหากเป็นไปได้พวกเขาก็ปรารถนาที่จะให้ผู้ที่เสียชีวิตนั้นได้ถูกฝังลง
หลากทฤษฎีและการหาผลประโยชน์
มีมากเหลือเกินทฤษฏีและการหาผลประโยชน์เกี่ยวกับการหายไปอย่างลึกลับของเครื่องบินดังกล่าว จนบางครั้งเป็นการทำร้ายจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกด้วย ทำให้ประเทศเสียภาพลักษณ์และส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจหาหลักฐาน
ความหวังเดียวที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ก็คือ ทางรัฐบาลกำลังรอการยืนยันของเศษชิ้นส่วนเครื่องบินทั้งสองชิ้น ที่พบในประเทศโมซัมบิก และที่เกาะเรอูนียง ที่กล่าวกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณลำตัวของ MH370
เมื่อปีที่แล้วมีการค้นพบชิ้นส่วนของเครื่องบิน MH370 ที่เกาะเรอูนียง และได้มีการยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบและการวิเคราะห์เครื่องโบอิ้งของฝรั่งเศษ(BEA) สถาบันความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ สถาบันตรวจสอบอุบัติเหตุจราจรทางอากาศ(AAIB)จากประเทศอังกฤษ และหน่วยความปลอดภัยการขนส่งทางอากาศของออสเตรเลีย(ATSB)
ส่วนเกี่ยวกับเรื่องความล่าช้าหรือเร็วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ ณ ขณะนั้น หากว่าชิ้นส่วนดังกล่าวเป็นของเครื่องบิน MH370 จริง อาจเป็นข้อบ่งชี้เกี่ยวกับบริเวณของอุบัติเหตุที่เครื่องบินตกได้อย่างชัดเจน หลังจากการรวบรวมปัจจัยหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะสภาพอากาศและการเคลื่อนไหวของกระแสน้ำในมหาสมุทร ถ้าหากตกในมหาสมุทรอินเดียจริง
เชื่อเถิดว่า ทุกๆ ฝ่ายรวมทั้งกรมการบินพลเรือนของมาเลเซีย (DCA) ศูนย์ควบคุมการบินพลเรือนของจีน (CAAC) และกรมการบินพลเรือนมาเลเซีย (DCA) และมาเลเซียแอร์ไลน์ หากเป็นไปได้อยากให้กรณีนี้ได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ชีวิตต้องเดินต่อไป
ถามว่าสามารถที่จะยอมรับความจริงหรือไม่ เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงค่อนข้างที่จะขมขื่นที่จะยอมรับได้ เราต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญในการทำหน้าที่ของพวกเขา
ซึ่งผลการวิเคราะห์ล่าสุดได้พุ่งไปที่แปดข้อสันนิฐานด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการบินออกนอกเส้นทางการบิน การปฏิบัติการบริการจราจรทางอากาศ ปัญหาของลูกเรือ สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย การบำรุงรักษา ระบบของเครื่องบินและการสื่อสารผ่านดาวเทียม และปัญหาของชิ้นส่วน
เราทุกคนหวังว่าจะมีการประกาศผลออกมาในเชิงบวกหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามทุกคนต้องมีความอดทน อย่าใส่ร้ายกล่าวโทษให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะนั่นคือไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหาที่ดี
แปลจาก http://www.bharian.com.my/node/132385