ชาวมุสลิมในเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ลำดับสองของพม่า ได้กล่าวหาตำรวจว่า “นิ่งเฉย” ไม่ระงับเหตุเมื่อม๊อบชาวพุทธจุดไปเผาบ้านเรือนชาวมุสลิม
มีรายงานว่าตำรวจกว่า 70 นายได้แต่เพียง “ยืนดู” ผู้ชุมนุมชาวพุทธที่กำลังจุดไฟเผาโรงเรียนและบ้านเรือนชาวมุสลิมในเมืองมัณฑะเลย์
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังพิธีศพของชาวชาวพุทธคนหนึ่ง
นายวิน เนียง ชาวมุสลิมซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนที่ถูกเผากล่าวว่า ผู้ชุมนุมชาวพุทธนั้นพกพาอาวุธหลายชนิดเช่นหนังยาง แท่งโลหะ และเลื่อย
ขณะที่นายเย ฮุท เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เข้าระงับเหตุ เพราะคิดว่ากลุ่มชนเพียงแต่ต้องการเข้าร่วมงานศพและไม่มีท่าทีมุ่งร้าย
วันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา พระสองรูปได้ทำร้ายชาวมุสลิมสองคนถึงแก่ชีวิตและบาดเจ็บกว่า 14 คน ในเมืองมัณฑะเลย์
ที่ผ่านความรุนแรงที่เกิดจากชาวพุทธต่อชาวมุสลิมพม่าชาวโรฮิงยา ได้คร่าชีวิตชาวมุสลิมไปแล้วหลายร้อยคนและทำให้ชาวมุสลิมจำนวนมากต้องอพยพ หนีออกจากประเทศ
นับเป็นครั้งแรกที่ความรุนแรงระหว่างชาวพุทธและมุสลิมได้ลุกลามมายังเขต เมืองใหญ่อย่างมัณฑะเลย์ที่มีประชากรราว 1.2 ล้านคน และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีชุมชนทางความเชื่อที่หลากหลายทั้งพุทธ อิสลาม คริสต์ และฮินดู ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุขตั้งแต่ก่อนการปกครองของอังกฤษ
ตัวเลขของทางการพม่าระบุว่า ชาวมุสลิมโรฮิงยามีอยู่ประมาณ 5 ล้านคนจากประชากรพม่า 60 ล้านคน พวกเขาถูกคุกคาม เข่นฆ่า ทรมานและกดขี่มาตั้งแต่ประเทศพม่าได้รับเอกราชในปีค.ศ. 1948
ในขณะที่รัฐบาลพม่าถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชนอย่างหนักในความ ล้มเหลวที่จะปกป้องชีวิตชาวมุสลิมโรฮิงยา รัฐบาลถูกกล่าวหาว่า “เพิกเฉย” ต่อเหตุความรุนแรงระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิม
รายงาน: ศูนย์ข้อมูลข่าวสารภูมิภาคตะวันออกกลาง (MIC)