หน้าแรก ข่าวต่างประเทศ

น้ำมันดิ่งทำพิษ! ซาอุดีอาระเบียประสบภาวะขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เอเอฟพี / เอเจนซีส์ / MGR online – ซาอุดีอาระเบีย ดินแดนเศรษฐีน้ำมัน และแกนนำของกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันปิโตรเลียมเป็นสินค้าออก (โอเปก) ประสบภาวะขาดดุลงบประมาณ ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 98,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 3.45 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยของทางกระทรวงการคลัง ของราชอาณาจักรกลางทะเลทรายแห่งนี้ในวันจันทร์ ( 28 ธ.ค.)

คำแถลงของกระทรวงการคลังซาอุดีอาระเบียซึ่งมีการเผยแพร่ในการแถลงข่าวที่กรุงริยาดห์ระบุว่า รายได้ของประเทศในปี 2015 นี้อยู่ที่ราว 162,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.7 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นยอดรายได้ที่ต่ำเตี้ยกว่าที่คาดการณ์ไว้ราวร้อยละ 15 และยังต่ำกว่ารายรับของประเทศในปี 2014 ในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 42 สวนทางกับยอดรายจ่ายของซาอุดีอาระเบียในปีนี้ที่พุ่งสูงถึง 260,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 9.16 ล้านล้านบาท)

ตัวเลขการขาดดุลดังกล่าว ถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของซาอุดีอาระเบีย ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก (the world’s largest oil exporter) ที่มีรายได้จากการขายน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึงกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศในแต่ละปี

รายงานข่าวระบุด้วยว่า นี่ถือเป็นขวบปีที่สองติดต่อกันแล้วที่ราชอาณาจักรที่เป็นเศรษฐีน้ำมันแห่งนี้ ประสบกับภาวะขาดดุลเช่นนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญเกิดจากการที่รายได้ของประเทศลดลงอย่างฮวบฮาบ จากผลพวงของราคาน้ำมันที่ดิ่งเหวลงไปแล้วเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ในตลาดโลกนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2014 ที่ผ่านมา สู่ระดับต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,400 บาท) ต่อ 1 บาร์เรล

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกโรงเตือนโดยระบุ ซาอุดีอาระเบียอาจประสบภาวะ “ล้มละลายทางเศรษฐกิจ” ภายในปี ค.ศ. 2020 หรือใน 5 ปีข้างหน้า หากรัฐบาลของราชอาณาจักรกลางทะเลทรายแห่งนี้ยังคงไม่ “รักษาวินัยการคลัง”

รายงานของไอเอ็มเอฟเกี่ยวกับภาพรวม และแนวโน้มทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย จะต้องหันมารักษาวินัยทางการคลังอย่างจริงจัง และยุติการใช้จ่ายงบประมาณ ในระดับที่สูงกว่ารายได้ของประเทศ ก่อนที่จะประสบภาวะ “ถังแตก” ในปี 2020

ข้อมูลของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ในปีนี้ยอดการขาดดุลงบประมาณของซาอุดีอาระเบีย พุ่งสูงถึง 21.6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในปี 2016 ก็คาดว่ายอดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลริยาดห์จะอยู่ที่ราว 19.4 เปอร์เซ็นต์

มาซูด อาเหม็ด ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียกลางของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า นอกเหนือจากซาอุดีอาระเบียจะต้องยุติการใช้จ่ายเงินงบประมาณ มากกว่ารายได้ของประเทศ โดยเฉพาะในภาวะที่ราคาน้ำมันที่เป็นสินค้าออกสำคัญของซาอุฯ อยู่ในภาวะดิ่งเหวแล้ว ซาอุดีอาระเบียยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการสร้างงาน ให้กับประชาชนมากกว่า 10 ล้านตำแหน่งภายใน 5 ปีข้างหน้าด้วยเช่นกัน

ผลพวงจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำในตลาดโลกตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน ในสัดส่วนที่สูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ต้องเผชิญกับภาวะขาดดุลงบประมาณขั้นเลวร้าย ไม่ต่างจากช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2009 ขณะเดียวกัน ยอดสินทรัพย์สุทธิในต่างประเทศของซาอุฯได้หดหายไปแล้วกว่า 82,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.91 ล้านล้านบาท ) เฉพาะในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2015 นี้

ก่อนหน้านี้ ทางการโอมาน ชาติเพื่อนบ้านของซาอุดีอาระเบียเพิ่งออกมาเปิดเผยเมื่อเดือนตุลาคม โดยยอมรับว่า ประเทศของตนประสบภาวะขาดดุลงบประมาณไปแล้วกว่า 6,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 247,185 ล้านบาท) เฉพาะช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ จากผลพวงของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ตกต่ำ กระทบช่องทางหารายได้หลักเข้าประเทศ

โดยรายงานข่าวซึ่งอ้างการเปิดเผยรายงานของกระทรวงการคลังโอมานระบุว่า ตัวเลขการขาดดุลงบประมาณของรัฐสุลต่านแห่งนี้ นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้พุ่งสูงแตะระดับ 6,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 247,185 ล้านบาท) สวนทางกับช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อปี 2014 ที่งบประมาณของประเทศประสบภาวะ “เกินดุล” กว่า 534 ล้านดอลลาร์ (ราว 18,945 ล้านบาท)

รายงานของกระทรวงการคลังโอมาน ระบุว่า การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา คือ ปัจจัยสำคัญ ที่นำไปสู่ภาวะขาดดุลงบประมาณแผ่นดินครั้งมโหฬารนี้

ทั้งนี้ แหล่งข่าวภายในกระทรวงการคลังโอมาน เปิดเผยว่า ในความเป็นจริงแล้วทางการโอมานวางแผนจัดทำงบประมาณแผ่นดินฉบับใหม่ โดยคำนวณจากพื้นฐานราคาน้ำมัน ที่เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศที่ระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงที่ผ่านมากลับลดต่ำลงกว่าระดับที่ทางการโอมานคาดการณ์ไว้ และนี่เป็นที่มาของการขาดดุลงบประมาณครั้งเลวร้ายของรัฐสุลต่านแห่งนี้ ที่มียอดขาดดุลเฉียด 7,000 ล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน

ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่าภาวะดิ่งเหวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ซาอุดีอาระเบีย คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ โอมาน รวมถึงบาห์เรน คิดเป็นวงเงินรวมกันไม่น้อยกว่า 215,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.62 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 14 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีรวม ของทั้ง 6 ประเทศในปี 2015 นี้

เมื่อไม่นานมานี้ ชีคห์ ซาบาห์ อัล-อาเหม็ด อัล-ซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐของคูเวต ทรงออกโรงเตือนถึงภาวะราคาน้ำมันที่ยังคงดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก ว่า เปรียบเสมือน “เงามืด” ที่กำลังย่างกรายเข้าปกคลุมเศรษฐกิจของสมาชิกกลุ่ม “โอเปก” พร้อมแนะว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว ในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศ

ชีคห์ ซาบาห์ ซึ่งทรงก้าวขึ้นครองอำนาจในฐานะ “เจ้าผู้ครองรัฐพระองค์ที่ 5” ของคูเวต ตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคมปี 2006 ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่คูเวตและประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปก หรือกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปิโตรเลียมรายใหญ่ของโลกจะต้อง “เลิกพึ่งพา” รายได้จากการขายน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียวในการพัฒนาประเทศ และควรเร่งหาทางสร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลายสำหรับใช้หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของตนในอนาคต

“การดิ่งลงของราคาน้ำมันนั้น ไม่ต่างจากเงามืดที่กำลังย่างกรายเข้ามาปกคลุมเศรษฐกิจ และอนาคตของเรา ถึงเวลาแล้วที่สมาชิกโอเปกทั้งหลาย ต้องหาหนทางอื่นในการพัฒนาเศรษฐกิจ แทนการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน เราต้องเร่งหาทางปกป้องเศรษฐกิจ และสร้างหลักประกันให้กับลูกหลานของเราในอนาคต ในวันที่เราไม่มีน้ำมันเหลืออยู่แล้ว” ชีคห์ ซาบาห์ ตรัส

ท่าทีขององค์เอมีร์แห่งคูเวต มีขึ้นหลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก ระหว่างชาติสมาชิกกลุ่มโอเปกในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต เพื่อให้มีน้ำมันออกสู่ตลาดโลกลดน้อยลง และผลักราคาน้ำมันให้ปรับสูงขึ้น

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของรัฐบาลคูเวตที่มีการเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า ในขณะนี้รายได้จากการส่งออกน้ำมันมีสัดส่วนคิดเป็น “เกือบครึ่งหนึ่งของจีดีพี”ของคูเวตและถือเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ จากการส่งออกสินค้าทั้งหมดของประเทศ