หน้าแรก รายงาน

โรงพยาบาลปัตตานี “ดูแลและรักษาดวงใจ” รู้จักระบบสุขภาพต้นแบบใหม่ที่ปลายด้านขวาน

ปัตตานีโมเดล โรงพยาบาลปัตตานี ตั้งขึ้นพัฒนาดูแลผู้ป่วยกลุ่มกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในพื้นที่และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีศักยภาพ ได้รับรองมาตรฐานเป็นเครือข่ายบริการสุขภาพระดับจังหวัดจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) สร้างสถิติการเสียชีวิตลดลงจาก 20 คนเหลือเพียง 8 คน ต่อประชากร 100,000 คน ต่อปี

“หัวใจวายเฉียบพลัน” เป็นหนึ่งในอาการเกี่ยวกับกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด 1 ใน 4 อันดับเพชรฆาตต้นเหตุการตายคนไทย ทุกๆ ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 6 คน เฉพาะในปี 2560 พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุกลุ่มโรคหัวใจมากถึง 54,530 คน

แต่หากผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับการปฐมพยาบาลอย่างทันท่วงทีและส่งถึงมือหมอได้โดยเร็วที่สุด พวกเขาอาจมีโอกาสรอดสูงมากถึงครึ่งต่อครึ่ง จึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบส่งต่อและดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เกิดขึ้น

ล่าสุด สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. เห็นว่า การวางระบบแบบเครือข่ายจังหวัด หรือ “ปัตตานีโมเดล ที่โรงพยาบาลปัตตานีพัฒนาขึ้น เพื่อดูแลผู้ป่วยกลุ่มกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในพื้นที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีศักยภาพ จึงได้รับรองมาตรฐานเป็นเครือข่ายบริการสุขภาพระดับจังหวัด ด้วยความหวังว่าโมเดลต้นแบบจากเมืองเล็กๆ ปลายด้ามขวานแห่งนี้ จะได้รับการต่อยอดไปสู่พื้นที่อื่นๆ เพื่อต่อสู้กับความสูญเสียและความทุกข์ทรมานจากโรคภัยได้

นพ.ศักดิ์ชัย ตั้งจิตวิทยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปัตตานี เปิดใจว่า การได้รับการรับรองจาก สรพ. มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัญหาโรคหัวใจและแก้ปัญหาอย่างมีทิศทางเดียวกัน และจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับประชาชน เพราะทำให้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน

สำหรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นพ.ศักดิ์ชัย ชี้ว่า ความจริงจังในเรื่องนี้ทำให้แม้แต่ในส่วนชาวบ้านก็เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง เช่นจากเดิมที่ไม่เคยรู้ว่าทำไมจึงเป็นโรคหัวใจก็เกิดความรู้ความตระหนักมากขึ้น

“การได้รับการรับรองคุณภาพก็เหมือนการประกาศตัวว่า เราทำสิ่งนี้ได้ดี ได้มาตรฐานแล้ว ใครที่ความรู้ยังไม่แน่นก็ต้องยกระดับตัวเองขึ้นเพื่อทำให้ได้มาตรฐานที่ประกาศไป เป็นการสื่อสารถึงทุกคนในโรงพยาบาล และเมื่อเราประกาศทำทั้งจังหวัดก็หมายความว่า มีสิ่งที่ต้องทำคือการไปคุยกับโรงพยาบาลอำเภอ เพื่อเอาความรู้ ทักษะ วิธีปฏิบัติลงไปพื้นที่ จากโรงพยาบาลอำเภอก็ลงไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)หรือแม้แต่อาสาสมัครเพื่อถ่ายทอดความรู้ต่อให้ประชาชน”

“จากคำพูดง่ายๆ ที่คนเป็นโรคหัวใจมักมาเล่าให้ฟังว่า อยู่ดีๆ ก็เจ็บหน้าอกแล้วก็เป็นโรคหัวใจ แต่ความจริงไม่ใช่ เมื่อซักประวัติทำให้รู้ว่า เขารู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยง บางคนบอกว่าความดันสูงมาแล้ว 20 ปีแล้ว บางคนไขมันสูงมาแล้ว 15 ปี เพียงแต่ในใจยังไม่มีความรับรู้ว่ามีสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่กับตัว ตรงนี้จะเป็นเวทีที่สื่อให้เขาได้รับทราบ เป็นความรู้พื้นฐานที่ประชาชนได้รับ เขาจะมีความระมัดระวังและการเตรียมตัวมากขึ้น เชื่อว่าในอนาคตผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจในจังหวัดปัตตานีจะน้อยลง ส่วนที่เป็นแล้วก็สามารถเข้าถึงระบบการรักษาได้ดีขึ้น โอกาสเสียชีวิตและพิการก็จะลดลง”

ดังที่ทราบกันดี จังหวัดปัตตานี เป็นจังหวัดเล็กๆ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง ส่วนระบบสุขภาพก็ยังประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากร เฉพาะโรงพยาบาลปัตตานีที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยนอกเข้ามารับการรักษาเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1,000 คนต่อวัน และมีผู้ป่วยในในความดูแลอีก 450 เตียง ในขณะที่มีอัตราสถิติการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงถึง 20 คน ต่อประชากร 100,000 คน สวนทางกับจำนวนแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

นพ.เอกอนันต์ อนันต์ฐานิต

ด้วยสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น นพ.เอกอนันต์ อนันต์ฐานิต นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ หรือแพทย์โรคหัวใจเพียงหนึ่งเดียวของจังหวัด มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไม่อาจรอตั้งรับปัญหาในโรงพยาบาลได้อีกต่อไป เพราะนอกจากจำนวนคนไข้ที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายแล้ว ปัญหาจากระยะทางและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ป่วยอีกจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ ทั้งที่คนไข้ในกลุ่มโรคหัวใจ หากการตรวจคัดกรองพบกลุ่มเสี่ยงได้เร็ว หรือได้การรับการรักษาอย่างทันท่วงที เมื่อมีอาการเฉียบพลัน จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตสูงขึ้น การเสริมศักยภาพให้กับส่วนงานบริการสุขภาพทั้งจังหวัดจึงเป็นเรื่องจำเป็น

“หมายถึงต้องมีการส่งต่อและการรักษาที่สามารถเข้าได้ถึงพื้นที่ชุมชน สมัยก่อนกว่าจะเดินทางมารักษาที่จังหวัดได้ บางคนมีค่าเดินทางถึง 1,600 บาท แพงมาก แพงกว่าค่ายาเสียอีก เขามียังมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ต้องมาให้ทันรถเที่ยวเดียวคือตี 5 ทั้งยังต้องมาจากพื้นที่เสี่ยง แล้วต้องกลับให้ทัน 6 โมงเย็น ตอนนี้เราพัฒนาระบบให้สามารถรับยาในพื้นที่รวมถึงดูแลคนไข้ที่มีความซับซ้อนได้แล้ว “

นพ.เอกอนันต์ อธิบายว่า ระบบการดูแลและส่งต่อที่พัฒนาขึ้นคือการจัดทำระบบฐานข้อมูลออนไลน์ที่เก็บจากทุกชุมชนหมู่บ้านเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลอำเภอและจังหวัด การอบรมบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต.รวมทั้งอาสาสมัคร เพื่อให้มีความรู้ในการปฐมพยาบาลกู้ชีพและลงพื้นที่คัดกรองกลุ่มเสี่ยงในชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยจะต้องบันทึกอาการ ประวัติการรักษา การประเมินเบื้องต้น การปักหมุดสถานที่ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นปรึกษาคนไข้ในชุมชนอย่างใกล้ชิดภายใต้การดูแลอีกชั้นจากอายุรแพทย์ของโรงพยาบาลประจำอำเภอ

ส่วนในกรณีที่มีผู้ป่วยอาการเฉียบพลัน ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการดูแลเบื้องต้นจากอายุรแพทย์ในโรงพยาบาลประจำอำเภอได้ทันที โดยจะมีการประสานข้อมูลการรักษากับหมอโรคหัวใจที่โรงพยาบาลปัตตานีโดยตรง เพื่อดูแลให้ผู้ป่วยในระยะวิกฤตให้ปลอดภัยก่อนส่งต่อ แตกต่างจากในอดีต หากมีอาการเฉียบพลันจะต้องเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเท่านั้น ซึ่งเสียเวลามาก แต่นั่นกลับเป็นปัจจัยสำคัญของโอกาสในการรอดชีวิต จากระบบการดูแลและส่งต่อที่พัฒนาขึ้น พบว่า สามารถทำให้สถิติการเสียชีวิตลดลงเหลือเพียง 8 คน ต่อประชากร 100,000 คน ต่อปี เท่านั้น

อามีน๊ะเจ๊ะดาแม หนึ่งในผู้ป่วยโรคหัวใจ ชาวบ้านอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เล่าถึงประสบการณ์โรคหัวใจซึ่งกำเริบเฉียบพลัน ให้ฟังว่า ขณะกำลังจะพักจากการขายขนมเหมือนในทุกๆ วันและเตรียมไปละหมาด อยู่ดีๆ เริ่มรู้สึกหน้ามืด เจ็บหน้าอก จุกด้านหลัง แขนเหมือนโดนบีบ ขึ้นไปตาลำคอใบหน้าและอาเจียนจึงรีบให้คนนำส่งโรงพยาบาล

หากเป็นอดีต กรณีของอามีน๊ะ จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลปัตตานี แต่ด้วยระบบที่วางเอาไว้ทำให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ สามารถให้ยาสลายลิ่มเลือดเพื่อแก้อาการให้พ้นภาวะวิกฤตก่อนส่งต่อได้ การเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็วทำให้รอดชีวิตและเกือบหายเป็นปกติ เธอได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีเพียงการต้องทานยาและติดตามอาการเป็นระยะเท่านั้น ซึ่งในส่วนนี้จะมีอาสาสมัครในชุมชนที่ผ่านการอบรมและทีมหมอครอบครัวดูแลอย่างใกล้ชิด

“ถ้าให้คะแนนได้จะให้เต็มเลย เจ็บเมื่อไหร่ก็มีคนมาดูแลทันที ไปโรงพยาบาล ถ้ารู้ว่าเป็นโรคหัวใจหมอจะรับเข้ารักษาด่วน โรงพยาบาลให้ความสำคัญกับคนไข้กลุ่มนี้มาก ระบบขั้นตอนการส่งต่อทำให้คนไข้สบายใจกับการทำงานของทีมหมอ ” เธอเล่าให้ฟังภูมิใจในระบบสุขภาพที่ได้รับ

คนไข้จากปะนาเระ

เช่นเดียวกับศักดิ์ดาแฮะ วัย 53 ปีจากอำเภอปะนาเระ ที่ไม่เคยเจ็บหน้าอกมาก่อน กำลังเตรียมตัวไปละหมาดเช่นกัน เกิดเจ็บหน้าอก ปวดหัวใจ หายใจไม่ได้จึงรีบไปโรงพยาบาลปะนาเระและมีการส่งต่อมายังโรงพยาบาลปัตตานี ซึ่งมีระบบการดูแลที่ดีที่ศักดิ์ดาขอบคุณมาก

“ทั้งหมอและพยาบาลดูแลไม่ห่าง สอบถามตลอดเวลา ประทับใจการบริการ การพูดจา สุภาพ อ่อนน้อมและรวดเร็ว กลับไปบ้านก็ไปเช็คอาการที่รพ.ปะนาเระอีกทีว่าเส้นตีบที่ไหนและรักษาได้ ไม่ต้องมาที่รพ.ปัตตานีอีก สะดวกมากขึ้น”

กลุ่มโรคหัวใจยังคงเป็นเรื่องเร่งด่วนในทุกพื้นที่ แต่เมื่อมีประกายแห่งความหวังเกิดขึ้น ที่นี่…จังหวัดปัตตานี เชื่อว่าอีกไม่นานระบบเครือข่ายสุขภาพจะเกิดขึ้นตามมาในทุกแห่ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตในนาทีวิกฤติ และการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน

ขณะที่เวลานี้ร่างกายยังแข็งแรง การตระหนักรู้ หมั่นดูแลและรักษาดวงใจ ให้การใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น คงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนที่คำว่า “สายเกินไป” จะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือใครในครอบครัวอันเป็นที่รัก…