เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค. เกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นอีกครั้งในรัฐยะไข่ พื้นที่ความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่ยืดเยื้อ ทางตะวันตกของประเทศพม่า มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
แถลงการณ์ของสำนักงานที่ปรึกษาแห่งรัฐของนางออง ซาน ซู จี ระบุว่าเกิดเหตุกลุ่มมุสลิมโรฮิงยาสายสุดโต่งราว 120 คนโจมตีด่านตำรวจมากกว่า 20 แห่งในรัฐยะไข่ กองทัพจึงต้องนำกำลังออกปะทะ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 71 ราย เป็นผู้ก่อการร้าย 59 ราย เจ้าหน้าตำรวจ และทหารรวม 12 นาย
ด้านเว็บไซต์ข่าวบีดีนิวส์ 24 ของบังกลาเทศ ระบุว่า กลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิมโรฮิงยานำกำลังสุ่มล้อมด่านตำรวจ 24 แห่งเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จากนั้นลงมือโจมตีพร้อมกัน และพยายามบุกเข้าไปในค่ายทหาร แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากกองทัพไหวตัวทันและส่งกำลังทหารออกปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ
อย่างไรก็ตาม ทางการพม่ายังไม่ชี้ชัดว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายเป็นสมาชิกของกองทัพกอบกู้โรฮิงยารัฐยะไข่ (เออาร์เอสเอ) ซึ่งมีแหล่งซ่องสุมกำลังอยู่บนภูเขาเมยู ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่
เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นราว 3 สัปดาห์หลังกรณีสังหารหมู่ 6 ศพชนเผ่าเมียว ชนกลุ่มน้อยชาวพุทธในหมู่บ้านคายยีในเมืองหม่องดอว์ เมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา จนนำไปสู่การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปราบปรามกลุ่มมุสลิมสุดโต่งในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิเศษเพื่อแก้ไขความแตกแยกทางเชื้อชาติและศาสนาในรัฐยะไข่ เพิ่งเตือนให้รัฐบาลเร่งลงมือแก้วิกฤต ผ่อนคลายการคุมเข้ม อย่าผลักดันให้กลุ่มโรฮิงยาถูกกดขี่ผันไปสู่การตั้งกลุ่มสุดโต่ง
เหตุการณ์ยังเกิดขึ้นเกือบ 1 ปีให้หลังเหตุตำรวจ 9 นายถูกสังหารจากการโจมตีด่านตรวจชายแดนเมื่อเดือนต.ค.2559 ซึ่งทำให้กองทัพเปิดปฏิบัติการกวาดล้างมุสลิมโรฮิงยาสายสุดโต่ง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 106 ราย และอีกกว่า 87,000 คนต้องอพยพหนีตาย
ที่มา: https://www.khaosod.co.th/
