หน้าแรก การศึกษาและเทคโนโลยี การศึกษา

รายงานพิเศษ : “สิทธิมนุษยชนศึกษา” ก้าวไปถึงจุดไหน? ในระบบการศึกษาและสังคมไทย

หลักสิทธิมนุษยชน นับได้ว่าเป็นแนวคิดแห่งศตวรรษที่เกิดขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมที่มนุษย์อยู่ร่วม เคารพซึ่งกันและกันอย่างสงบสุข ไม่ข่มเหงทารุณ หรือเลือกปฏิบัติด้วยความแตกต่างของแต่ละคน

หลายประเทศมีการปลูกฝังอย่างจริงจัง ถึงกับมีการสอนเป็นเรื่องเป็นราวทั้งในแนวคิดและการปฏิบัติจริง

สอนกันตั้งแต่เด็กที่เข้าสู่วัยที่สามารถรู้ผิดชอบชั่วดีได้

สำหรับประเทศไทย แม้หลักการดังกล่าวถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนับตั้งแต่รู้จักคำคำนี้ร่วม 20 ปี และมีการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาจากองค์กรอิสระ สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา และองค์การระหว่างประเทศ พยายามให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอก็ตาม

แต่เรื่องสิทธิมนุษยชนได้อยู่ในระบบการสอนตามโรงเรียนของไทยแล้วหรือยัง หรือถ้าเข้าไปในหลักสูตรแล้ว มีความก้าวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องเผชิญความท้าทายของบริบทสังคมแบบไทยๆ

อ.ดร.วัชรฤทัย บุญธินันท์ จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเชื่อว่าการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมบนฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน ความเสมอภาค อิสรภาพ

สิทธิมนุษยชนศึกษาจึงสำคัญ แต่ปัญหาตรงหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นชุดคุณค่าเดียวกับสังคมไทยที่เป็นอยู่

ดังนั้น เมื่อเวลาที่กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนศึกษา ไปบอกกับคนทั่วไป พวกเขาไม่รู้มันคืออะไร

เมื่อพูดถึงเรื่องดังกล่าว คนส่วนใหญ่อาจเข้าใจว่ามันหมายถึงชุดความรู้ ก็ต้องพูดถึงเรื่องกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รัฐธรรมนูญ อะไรต่างๆ ที่มีความสำคัญเป็นคุณค่าร่วม

ที่จริงแล้วชุดความรู้ไม่ได้มีแค่หลักการ สิ่งที่สำคัญกับสิทธิมนุษยชนนั้นคือ การเข้าใจกลไกสิทธิมนุษยชนที่มีอยู่ในตัว มันอยู่บนความเคารพแบบปัจเจก

แต่รัฐเป็นผู้ที่รับผิดชอบสูงสุด เพราะฉะนั้น กลไกสิทธิมนุษยชนมันสำคัญว่า มันกำกับให้รัฐปกป้อง คุ้มครอง ส่งเสริมได้อย่างไร

แต่ในระบบการศึกษาแบบโรงเรียน ถ้าเปิดตำราเรียน จะพูดถึงสิทธิมนุษยชนอย่างสิทธิเด็ก สิทธิผู้บริโภค กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องกลไก จึงไม่รู้ว่าสิทธิมนุษยชนมันทำงานอย่างไร นอกจากเป็นเรื่องของกฎหมาย ถ้ามีกฎหมายรองรับมันก็ใช้ได้ แต่ว่าก็เป็นข้อจำกัดในการทำความเข้าใจเฉพาะชุดความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ชุดของคุณค่า อาจเป็นข้อจำกัดใหญ่ ยิ่งสังคมไทยด้วย

เราจะเริ่มพูดคุยเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือส่งเสริมคุณค่ามันอย่างไร เพราะในเมื่อเราบอกว่าคุณค่าสิทธิมนุษยชนมันตั้งอยู่บนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การไม่เลือกปฏิบัติ การเคารพซึ่งกันและกัน ชุดคุณค่านี้ไม่ได้ถูกอธิบายแบบนี้ในสังคมไทย

เพราะสังคมไทยใช้ชุดคุณค่าอีกแบบมาอธิบาย

ซึ่งเราถูกตอกย้ำ อบรมบ่มเพาะตั้งแต่ระดับครอบครัว อย่างการเคารพที่ตั้งบนสถานะ (อำนาจ) มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง มีผู้ใหญ่ ผู้น้อย การมีสัมมาคารวะ และเมื่อดูชุดตำราเรียนที่ใช้สอน มักสอดแทรกเรื่องความเสียสละ ความรับผิดชอบ

หากถามว่าชุดคุณค่าแบบนี้ มันขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนทั้งหมดหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพียงแต่เวลาถูกใช้ มันไม่เอื้อต่อการให้เกิดการเคารพซึ่งกันและกัน การมีสัมมาคารวะเป็นเรื่องดี แต่มันไปติดอยู่ที่เรื่องของลำดับชั้น มันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าผู้มีอำนาจสูงกว่าสามารถทำอะไรได้ มันทำให้ไม่เอื้อต่อการมองคนเท่ากัน

มันจึงเป็นโจทย์สำคัญอย่างหนึ่ง ถ้าหากจะพูดถึงคุณค่าที่ส่งเสริมความเท่าเทียมกัน เราจะเริ่มยังไงในสังคมไทยที่ถูกปลูกฝังมาแบบนี้

ขณะที่การศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนในระดับอุดมศึกษานั้น อ.ดร.วัชรฤทัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเวลาพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนก็จะเจอแรงต้าน แต่กระแสเรื่องความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยกลับเป็นสิ่งที่คนกล่าวถึงมากขึ้น โดยจากงานวิจัยที่ศึกษา 6 มหาวิทยาลัยของไทย ได้ตั้งประเด็นว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัย มองการสร้างความเป็นพลเมืองอย่างไร และนักศึกษาทำอะไรที่แสดงออกความเป็นพลเมือง

สิ่งที่ค้นพบซึ่งไม่ได้แปลกใจนั้นคือ การอยู่ในกรอบแบบที่กล่าวข้างต้นมาตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาไทยบ่มเพาะสร้าง “คนดี” พูดถึงคนดีและพลเมืองดี ไม่ได้พูดถึงเรื่องพลเมืองประชาธิปไตยหรือพลเมืองที่จะออกมาเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรม

ความเป็นคนดีหมายถึงอะไร?

คนที่รับผิดชอบต่อตัวเองและต่อส่วนรวม ซึ่งฟังดูดี ยกตัวอย่างที่โครงการจิตอาสา ให้นักศึกษาออกไปรับผิดชอบต่อสังคม และกระทำในรูปแบบของการบำเพ็ญประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับมโนทัศน์ของสังคมไทยเกี่ยวกับคุณค่าแบบไทยๆ บนฐานของพุทธศาสนาโดยเฉพาะกฎแห่งกรรมที่ครอบสังคมไทยไว้ ไม่ได้มองปัญหาบนโครงสร้าง แต่เป็นเรื่องปัจเจกที่ต้องไปแก้ปัญหากันเอง การแก้ไขมักเป็นการแก้ไขที่พฤติกรรมของแต่ละคน หรือช่วยในระดับบุคคล

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ผู้บริหารมองว่า นักศึกษาเข้าไปช่วยเหลือชุมชน มันเป็นการสร้างความเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม แม้แต่นักศึกษาเองเห็นว่าค่านิยม 12 ประการเป็นเรื่องสำคัญ มีถึง 5 มหาวิทยาลัยที่มองว่าการรับน้องไม่ใช่ปัญหา และมองว่าระบบอุปถัมภ์เป็นเรื่องปกติและยอมรับได้ ถ้าจะไปทำเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน ยาก เป็นเรื่องของกฎหมาย และเจ็บตัวเปล่าๆ

ด้าน นางสาวนัสริน จารง ประธานกลุ่มแอมเนสตี้คลับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า ด้วยตนอยู่ในบริบทสังคมไทย เป็นมุสลิมมลายูแต่ต้องรับวัฒนธรรมแบบไทย ให้ความเคารพ การมีสัมมาคารวะกับผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ด้วยที่บางครั้งความคิดเราไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการ

ทำให้เราหันมาถามกับตัวเองว่า ทำไมถึงทำแบบนั้นไม่ได้ นั้นทำให้หันมาสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ยิ่งตนสนใจเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งตามที่เราถูกจำกัดความคิดทั้งในระบบการศึกษาและครอบครัว จึงมาสนใจเรื่องที่ทำให้สามารถคิดอะไรได้มากกว่านั้น

เมื่อหันมาสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนศึกษา เริ่มแรกหันมาดูตอนสมัยมัธยม ก็ไม่ได้มีสอนเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว และตนเพิ่งมาเรียนรู้ตอนเข้ามหาวิทยาลัย

แต่พอเข้ามากลับไม่ได้กลุ่มหรือชมรมอะไรเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งมีรุ่นพี่ตั้งชมรมแอมเนสตี้ พอเข้ามาก็ได้เรียนรู้มากขึ้น ประกอบกับการที่มีเจ้าหน้าที่จากแอมเนสตี้มาทำกิจกรรมร่วมกับคณะรัฐศาสตร์ ทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น

ในส่วนของชมรมแอมเนสตี้ นางสาวนัสรินกล่าวว่า เน้นที่เรื่องความคิดมากกว่า ซึ่งเห็นภาพยากมากเมื่อเทียบกับชมรมจิตอาสา ทำให้เวลาจัดกิจกรรม มีนักศึกษาเข้าร่วมน้อยมากเมื่อเทียบจำนวนทั้งมหาวิทยาลัย และเห็นว่าเป็นเรื่องนามธรรม ทำให้มีคำถามว่า ทำแล้วได้อะไร

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้ตั้งแต่เข้ามา ตนได้อะไรหลายอย่าง ตั้งแต่ขั้นตอนการทำงาน ที่ทำในระบบความคิดของคนมันแตกต่างจากกลุ่มอื่น เริ่มกล้าเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย จากเด็กเรียนที่แค่ให้จบ กลายเป็นคนมีส่วนร่วม เริ่มถกเถียงมากขึ้น

จากสิ่งที่ไม่เคยหรือไม่กล้า ไม่ปลอดภัยหรือยากเกินไป กลับทำได้

ที่มา : https://www.matichonweekly.com/: อิสราชัย จงภัทรนิชพันธ์