หน้าแรก การศึกษาและเทคโนโลยี การศึกษา

ปราชญ์มุสลิมโลก 40 ประเทศ ร่วมสัมนา ‘การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข’ ที่ วอศ. ม.อ.ปัตตานี

คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประกอบด้วย รศ. ดร .ชูศักดิ์ลิ่มสกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ศ. ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษาผู้อํานวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา ดร.ยูโซะ ตาเละ ผู้อํานวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี(ม.อ.ปัตตานี) ร่วมกันเชิญชวนร่วมงานสัมมนา ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2560 ณ วิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.อ.ปัตตานี โดยมีพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา โดยเป็นการจัดการสัมมนาครั้งที่ 4 ในรอบ 8 ปี มีนักวิชาการ ผู้บริหารประเทศและปราชญ์มุสลิม จาก 40 ประเทศทั่วโลกร่วมสัมมนา

รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์กล่าวถึงความเป็นมาของการสัมมนา และวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนา ครั้งนี้ สืบเนื่องจากการจัดสัมมนาอิสลามศึกษา นานาชาติ 3 ครั้งที่ผ่านมา โดยครั้งแรก เมื่อปี 2553 นักวิชาการด้านอิสลามศึกษาจาก 16 ประเทศ ได้ร่วมกันกําหนด “ปฏิญญาปัตตานี” การสัมมนาอิสลาม ศึกษานานาชาติครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อปี 2556 ได้ยกระดับการจัดการศึกษาของวิทยาลัยอิสลามศึกษาให้ก้าวหน้าสู่นานาชาติสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาอาเซียน ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนมุสลิมและสร้างสังคมสันติสุขและสมานฉันท์ที่ยังยื่นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การสัมมนาอิสลามศึกษานานาชาติครั้งที่ 3 เมื่อปี 2558 ได้กําหนดให้วิทยาลัยอิสลามศึกษาเป็นสถาบันที่พร้อมในการบริการวิชาการแก่ชุมชนทั้งระดับนักเรียน นักศึกษา บัณฑิต รวมทั้งคณาจารย์ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อให้คนเหล่านั้น สามารถเข้าใจถึงวิถีของอิสลามสายกลาง สามารถที่จะไตร่ตรองสิ่งต่างๆ เพื่อยับยั้งสิ่งที่ไม่ดีจนสามารถสร้างความสงบ ร่มเย็นแก่ชุมชนได้

จากผลของการสัมมนาอิสลามศึกษานานาชาติทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา วิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.อ.ปัตตานีจึงได้เอาแนวคิด หลักการ และวิธีการต่างๆ ต่อยอด จัดโครงการการสัมมนาอิสลามศึกษานานาชาติครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “การศึกษาอิสลาม : พลังแห่งการขับเคลื่อนในการพัฒนาและการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข” (Islamic Education as a Driving Force for a Peaceful Coexistence and Development) ขึ้น เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการ วิจัย และการแลกเปลี่ยนคณาจารย์บุคลากรและนักศึกษา เพื่อเป็นเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น และประสบการณ์ระหว่างนักวิชาการด้านอิสลามศึกษาและผู้นําทางศาสนาอิสลามเพื่อสร้างเครือข่ายทางด้านอิสลามศึกษาในระดับอาเซียนและระดับโลก และเพื่อให้สังคม ตระหนักในคุณค่าของอิสลามชี้นําให้ประชาชาติมีความสามัคคีปรองดอง และสมานฉันท์และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษาผู้อํานวยการ วิทยาลัยอิสลามศึกษา กล่าวถึงผลการจัดการสัมมนาครั้งที่ผ่านมาว่า การสัมมนาอิสลามศึกษานานาชาติในครั้งนี้เป็นโครงการต่อเนื่องจากการสัมมนาอิสลามศึกษานานาชาติ 3 ครั้งที่ผ่านมา โดยการจัดสัมมนาครั้งแรกเมื่อ วันที่ 21-23 ธันวาคม 2553 เรื่อง “บทบาทอิสลามศึกษาในยุคโลกาภิวัตน์ ผลที่ได้รับจากการประชุมสัมมนาในครั้งนั้น คือ ปฏิญญาปัตตานี (FATONI DECLARATION) มีสาระสําคัญคือ ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเครือข่ายภาคี ในการพัฒนาการศึกษาอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับให้มีคุณภาพ และสามารถเป็นฐานในการประกอบอาชีพและพัฒนาสังคมให้มีความสันติสุข การสัมมนา ครั้งที่ 2 ในปี 2556 ในหัวข้อ “อิสลามศึกษาในโลกที่เปลี่ยนแปลง : โอกาสและสิ่งท้าทาย” ผลจากการสัมมนาคือ ได้ยกระดับการจัดการศึกษาของวิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.อ.ปัตตานีให้ก้าวสู่นานาชาติสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาเอเซียน หรือ Asean Education Hub ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนมุสลิม และสร้างสังคมสันติสุขและสมานฉันท์ที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ในอนาคต สร้างภาพมุสลิมในประเทศไทยต่อสายตาชาวโลกมุสลิมในมิติเสรีภาพทางวิชาการ และการนับถือศาสนาเกิดเครือข่ายอิสลามศึกษา มีการแลกเปลี่ยนคณาจารย์นักศึกษา มีการร่วมมือทางวิชาการ และการวิจัยร่วมกัน

ในการจัดสัมมนาครั้งที่ 3 เมื่อปี 2558 นักวิชาการมุสลิมโลก รวม 500 คน จาก 25 ประเทศ เปิดประเด็น “ค่านิยมอิสลามในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง” ผลจากการสัมมนาครั้งนี้ทําให้เกิดการอภิปราย ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับค่านิยมอิสลามและกลั่นกรองเอาประสบการณ์การนําค่านิยมเหล่านี้ไปใช้ในชุมชนมุสลิมหรือไม่ใช่ มุสลิมที่แตกต่างกันทั่วโลก สร้างวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสันติภาพและความสงบสุขในชุมชนที่หลากหลาย พร้อมทั้งหลักกฎหมายอิสลามด้านดุลยภาพ ความเป็นเลิศและความพอดี (สายกลาง) ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง และสิทธิมนุษยชนกลุ่มน้อยในสังคม ซึ่งนําไปสู่การความร่วมมือกันอย่างดีและจริงจังระหว่างรัฐบาล สถาบันการศึกษา ปัญญาชน องค์กรการกุศล นักการศึกษา นักวิทยาศาสตร์และนักคิดทุกท่านในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนในปัจจุบัน

นอกเหนือจากการมีปฏิญญาปัตตานี และออกแถลงการณ์ของการสัมมนาในแต่ละครั้ง แล้วยังได้จัดตั้งโรงเรียนสาธิตอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์บูรณาการอิสลาม และให้ความสําคัญในการพัฒนาคุณธรรมนักเรียนเพื่อการเป็นมุสลิมที่ดียึดปฏิบัติตาม ดุลยภาพอิสลาม, จัดตั้งศูนย์ทดสอบและพัฒนาภาษาอาหรับเพื่ออิสลามศึกษา ซึ่งเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนามาตรฐานภาษาอาหรับของนักเรียนอิสลามศึกษาในประเทศไทย, จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานอิสลามศึกษา (ISCC) ซึ่งเป็นคณะทํางานเพื่อกําหนดทิศทางของการสัมมนาอิสลาม ศึกษานานาชาติ, โครงการเครือข่ายอิสลามศึกษานานาชาติ (International Islamic Studies Network – IISN) เพื่อแลกเปลี่ยนนักศึกษาและบุคลากรระหว่างมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยในประเทศตุรกีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จอร์แดน บรูไน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น การจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านอิสลาม (ATSDC) , การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลการจัดการข้อมูลอิสลาม (iCentre) เพื่อเป็นศูนย์ในการจัดระบบ ผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการอิสลามศึกษา และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป สามารเข้าถึงบริการ, จัดตั้งศูนย์วิจัยประยุกต์หลักการสายกลาง (วะสะฎิยะฮ) ในสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อศึกษาวิจัยหลักการสายกลางเพื่อประยุกต์ใช้ในสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อนําสู่แนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติที่ยั่งยืนบนพื้นฐานความเคารพ ให้เกียรติและยอมรับในความหลากหลายทางอัตลักษณ์, โครงการวิสาหกิจเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (SEED) เป็นกิจการเพื่อสังคมในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนแบบองค์รวมที่มีความมั่นคงและยั่งยืน โดยยึดหลักการทํางานร่วมระหว่างสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษากับชุมชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องเป็นระบบและรับผิดชอบในฐานะเป็นหุ้นส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง

ดร.ยูโซะ ตาเละ ผู้อํานวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา กล่าวถึงความคืบหน้าของการดําเนินการสัมมนา วิทยาลัย อิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ว่า การสัมมนาอิสลามศึกษานานาชาติครั้งที่ 4 การศึกษาอิสลาม : พลังแห่งการขับเคลื่อนในการพัฒนาและการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข (Islamic Education as a Driving Force for a Peaceful Coexistence and Development) ในครั้งนี้ มีเป้าหมาย ผู้เข้าร่วมสัมมนาจากทุกทวีปทั่วโลกรวม 40 ประเทศ จํานวน 500 คน มีประเทศที่ตอบรับการเข้าร่วมมาแล้ว 37 ประเทศ ได้แก่ ประเทศแอลจีเรีย , บาห์เรน , บรูไน , อียิปต์ , อังกฤษ , กินี , อินเดีย ,อินโดนีเซีย , อิรัก , ญี่ปุ่น , จอร์แดน , คูเวต , ลาว , ไลบีเรีย , ลิเบีย , จีน , มาซิโดเนีย , มาเลเซีย , มัลดีฟส์ ,โมร็อกโก , ไนจีเรีย , โอมาน , ปากีสถาน , ฟิลิปปินส์ , กาตาร์ , รัสเซีย , ซาอุดิอารเบีย , ศรีลังกา , ซูดาน ,ติมอร์-เลสเต , ตุรกี , สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ , ยูกันดา , ยูเครน , สหรัฐอเมริกา , เยเมน และไทย โดยมีพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีเป็นประธาน ในพิธีเปิดการสัมมนา นอกจากนี้จะมีการนําเสนอผลงานวิจัย บทความวิชาการจากนักวิชาการด้านอิสลามทั่วโลกกว่า 40 บทความ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอิสลาม : พลังแห่งการขับเคลื่อนในการพัฒนาและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การประชุมของผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาทางด้านอิสลามศึกษาชั้นนําของโลก เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการ วิจัย และการแลกเปลี่ยนคณาจารย์บุคลากร และนักศึกษา