“ศุภณัฐ สิรันทวิเนติ” เลขาธิการ ศอ.บต. ชี้แจงกรณี ศอ.บต.จัดซื้อ “โรงแรมชางลี” โรงแรมเก่าใจกลางเมืองยะลา มูลค่ากว่า 124 ล้านบาท เพื่อจะต้องเป็นศูนย์กลางการบริการประชาชนในมิติต่างๆ เชื่อเป็นการยกระดับพื้นที่ชายแดนภาคใต้
วันนี้ (16 มิ.ย.) นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อตึกโรงแรมชางลี ของ ศอ.บต. เมื่อปี พ.ศ.2555 จนทำให้เกิดกระแสข่าวต่อเนื่อง ถึงการใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากว่าคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งหลายๆ ข้อมูลสำคัญของการตัดสินใจในการจัดซื้อในครั้งนี้คืออะไรนั้น
เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวต่ออีกว่า ประการแรก พวกเราหน่วยงานของรัฐ และประชาชนในพื้นที่ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ถ้าวันนี้โรงแรมชางลี ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสิโรรส ใจกลางสำคัญของเมืองยะลาและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องเป็นโรงแรมร้าง เป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาต้องทอดถอนใจกับผลแห่งวิกฤติเศรษฐกิจ และวิกฤติความรุนแรงในพื้นที่ ดังนั้นเราต้อง Rebranding ในส่วนนี้ให้ได้ และทำให้เป็น Landmark แห่งใหม่ โดยดึงพลังจากทุกภาคส่วนมาทำงานร่วมกัน ตนคิดเสมอว่าหากทุกภาคส่วนมุ่งมั่นแล้วว่าจะขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่แล้ว จำเป็นจะต้องสร้างระบบการพัฒนาเพื่อให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น เมื่อเอกชนมั่นใจ ก็จะนำไปสู่การกระตุ้นวงจรธุรกิจให้หมุนไปอย่างต่อเนื่อง และจะทำให้ปัญหาการว่างงานลดลง
ในส่วนนี้ นายกเทศมนตรีนครยะลา ได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา รายได้ประชาชนใน จ.ยะลา ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่จมดิ่งอย่างหนัก สอดคล้องกับข้อมูลการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ชี้ชัดว่าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน มีการลงทุนจากเอกชนเพียง 20 กว่ารายเท่านั้น ดังนั้น เราจะยอมกันให้เป็นแบบนี้ต่อไปหรืออย่างไร หรือเราต้องร่วมกันหามาตรการและโครงการต่างๆ เพื่อเข้าไปฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ก้าวเดินต่อไป ในส่วนนี้เอง ตนคิดเสมอว่าพวกเราจะต้องมาช่วยกันคิดต่อว่า โจทย์ที่ชัดเจนของเราวันนี้คือ เศรษฐกิจต้องเดินหน้า เงินต้องมีอยู่ในกระเป๋าประชาชน โอกาสที่ดีของประชาชนต้องมี การมีโรงแรมชางลีจะต้องตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้ ในใจตนคิดว่าวันนี้ เรามีนักธุรกิจรุ่นใหม่จำนวนมาก จะทำอย่างไรให้นักธุรกิจเหล่านี้ มารวมตัวกันและทำธุรกิจในที่แห่งนี้ เพื่อให้เกิดความคึกคักและตื่นตัวที่จะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพื้นที่ ซึ่งสอดรับกับโครงการเมืองต้นแบบฯ ของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างธุรกิจรุ่นใหม่ให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ นอกจากนี้ เรายังมีภาคเอกชนที่มีศักยภาพ เรายังมีประชาชนที่จะต้องเข้าไปดูแลเกือบ 2 ล้านคน เราจะเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ และพัฒนาอย่างไร
ประการที่ 2 เมื่อมองศักยภาพของโรงแรมชางลี ที่มีพื้นที่ใช้สอยจำนวนมากกว่า 1 หมื่นตารางเมตร เราตั้งใจเลยว่า สิ่งแรกที่เราจะทำคือ หอเกียรติยศสถาบันกษัตริย์กับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกคนคงทราบดีว่า “ในหลวง รัชกาลที่ 9” และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีโครงการพระราชดำริ น้อยใหญ่จำนวนมาก ทั้งเรื่องน้ำ ป่า การเกษตรและอื่นๆ เมื่อวันนี้ เราต้องการให้ประชาชนได้เรียนรู้โครงการพระราชดำริ ได้เรียนรู้หลักการทรงงาน ได้เรียนรู้ความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่แท้จริง ผ่านการทรงงานของพระองค์ท่าน รวมทั้งให้ลูกหลานคนในพื้นที่ รับรู้และตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพระมหากรุณาธิคุณของทุกพระองค์ ที่เสด็จมาทรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะตนเองสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ที่ทรงเสด็จมาในงานเมาลิดกลางทุกปี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมงคลสูงสุดที่เราต้องการให้ประชาชนได้ร่วมจำจด และน้อมนำไปประยุกต์สู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้ได้ ตนเชื่อมั่นว่าคนทุกคนในพื้นที่รักในหลวง และรักสถาบันกษัตริย์อย่างสูงสุด และปรารถนาให้มีหอเกียรติยศสถาบันกษัตริย์ในพื้นที่ให้ได้
ประการที่ 3 เมื่อเรามุ่งมั่นที่จะให้บริการประชาชนเป็นเป้าหมายการทำงานสูงสุด พื้นที่แห่งนี้จะต้องเป็นศูนย์กลางการบริการประชาชนในมิติต่างๆ ศูนย์กลางการศึกษาของอาเซียน ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์กลางพหุสังคมที่ประชาชนทุกศาสนามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข รวมทั้งศูนย์กลางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ เบื้องต้นเราจะพัฒนาศูนย์กลางที่กล่าวถึงไว้ทั้งหมดในรูปแบบศูนย์บริการประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น
1. ศูนย์บริการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบแบบครบวงจร
2. ศูนย์บริการกิจการพุทธศาสนาและกิจการฮัจญ์
3. ศูนย์ประสานการบริการและการลงทุนอย่างครบวงจร
4. ศูนย์บริการหนังสือเดินทางสำหรับประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้
5. ศูนย์ประสานงานส่วนราชการและศาสนาเชิงพหุวัฒนธรรม
6. ศูนย์กลางอาเซียนและ IMT-GT (โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย)
7. สถาบันเกษตรประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้
8. ศูนย์ดูแลคุณภาพชีวิตเด็กพิเศษตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามมงกุฎราชกุมารี
9. ศูนย์พัฒนาการศึกษาและภาษาอาเซียน
10. สถานีโทรทัศน์เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพครู การเผยแพร่ความรู้ และการประชาสัมพันธ์
11. สถาบันพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนกลุ่มเป้าหมายพิเศษที่รัฐต้องเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือ
12. สถาบันพัฒนาบุคลากรจังหวัดชายแดนภาคใต้
เลขาธิการ ศอ.บต. ยังกล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพราะตนเชื่อมั่นว่าการดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างครอบคลุมทุกมิติการพัฒนา เป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญที่น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เป้าหมายคือ ประชาชนต้องมีความกินดี อยู่ดี และมีความสุข สามารถฟื้นความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน และสามารถเดินหน้าการพัฒนาพื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม ตัวอย่างในเรื่องนี้คือ เมื่อวันที่ตนไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนในพื้นที่สุไหงโก-ลก ภาคเอกชนที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ก็มีการสอบถามเข้ามาว่า นักธุรกิจรุ่นใหม่จะเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่นี้ได้หรือไม่ อย่างไร ตนก็สร้างความมั่นใจว่า วันนี้รัฐอำนวยความสะดวกให้กับเอกชน ดังนั้น พื้นที่ในส่วนนี้ หากมีโครงการหรือกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่ เราเปิดให้อย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็เข้าไปดูแลและรับไปดำเนินการแล้ว
ประการสุดท้าย ที่หลายฝ่ายแสดงความห่วงใยว่า การจัดซื้อโรงแรมชางลี และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงและพัฒนานั้น มีความโปร่งใสหรือไม่อย่างไร ตนขอเรียนว่า ศอ.บต. มีการเจรจากับ บสส. และตกลงกันที่ราคา 124,000,000 บาท (124 ล้านบาท) ถูกกว่าราคาขายในตลาดถึงครึ่งต่อครึ่ง แต่เป็นอาคารเปล่า มีแต่โครง สาธารณูปโภคด้านในไม่มีเลยสักอย่างเดียว ก็ต้องใช้งบประมาณในการปรับปรุงและพัฒนาสาธารณูปโภคทุกด้าน ให้มีความพร้อมรองรับประชาชนที่เราต้องการให้เข้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ ตนเชื่อมั่นว่าวันนี้ในทางตัวเลขอาจจะดูสูง และเกิดคำถามว่าจะมีการใช้ประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร แต่ในทางสังคมและความสุขที่ประชาชนจะได้รับจากการได้รับบริการ เพื่อตอบสนองความจำเป็นและต้องการประชาชนในพื้นที่ ตนคิดว่ามีความคุ้มค่ามากกว่าหลายเท่า พี่น้องประชาชนอุ่นใจที่จะเข้ามาใช้บริการงานทุกด้านในที่แห่งนี้ เป็น One Stop Service แห่งแรกของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รวบรวมงานบริการทุกด้านเข้ามาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ งานด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ภาษา พหุสังคมและการช่วยเหลือกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของรัฐ เป็นต้น
“ผมขอให้มองว่าเรื่องนี้คือเรื่องของขาดทุนคือ กำไร (Our loss is our gain) การเสียคือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้าและการที่คนอยู่ดีมีสุข เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้ ตามแนวพระราชดำริ ในหลวง รัชกาลที่ 9 เราลงทุนผ่านโครงการนี้ เพื่อหวังว่าประชาชนจะมีความสุข มีการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดี ที่สำคัญให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจว่า วันนี้เราได้ดูแลเขาอย่างเต็มที่ ให้เขารักในประเทศไทยรักคนไทยด้วยกัน และร่วมมือกันยุติเหตุการณ์ความรุนแรงทุกกรณี รวมทั้งปกป้องประเทศไทยด้วยใจของความเป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ผมคิดว่าต่อให้จ่ายเงินมากกว่ารัฐบาล ก็จะไม่คิดเสียดายเลย” นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: http://www.manager.co.th/