หน้าแรก ข่าวในประเทศ ข่าวชายแดนใต้

แม่ทัพภาค 4 พบสื่อแจงความคืบหน้าภารกิจ เตรียมปรับมาตรการรับเดือนรอมฎอน อนุญาตวิทยุชุมชนที่ถูกระงับให้ออกอากาศได้

เลขา เกลี้ยงเกลา / เรื่อง


แม่ทัพภาค 4 เชิญสื่อชายแดนใต้ฟังประชุมหน่วยงานขึ้นตรงรายสัปดาห์ เตรียมปรับมาตรการเดือนรอมฎอน อนุญาตวิทยุชุมชนที่ถูกระงับให้ออกอากาศได้ ระบุพูดคุยสันติสุขน่าสนใจ ยันจัดเวทีระดับพื้นที่ต่อในแนวทางสันติวิธีและการพูดคุยสันติสุข พร้อมสั่งเคลียร์ทุกจุดตามแนวชายแดนป้องกันปัญหาค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เปิดให้คณะสื่อมวลชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาจำนวน 80 คน เข้าร่วมรับฟังการประชุมสรุปการปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ของหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน.ภาค 4 สน.ผ่านจอภาพ โดยหน่วยต่างๆ ชี้แจงสรุปการปฏิบัติงานและการขับเคลื่อนแผนงานในรอบสัปดาห์ รวม 10 หน่วย ได้แก่ หน่วยเฉพาะกิจ (ฉก.) ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา นาวิกโยธินทหารเรือ ศูนย์สันติสุข ศอ.บต.ส่วนหน้า กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรมการทหารช่าง และสำนักงานอำนวยพัฒนา กอ.รมน.ภาค 4 สน.

พล.ท.ปราการ ได้พบปะสื่อมวลชนพร้อมเปิดให้มีการซักถามในประเด็นต่างๆ ในความคืบหน้าของการพูดคุยสันติสุข พล.ท.ปราการ ได้กล่าวว่า การพูดคุยสันติสุขในระดับนำระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับฝ่ายกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐมีความก้าวหน้ามาก คาดว่าในปลายเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนนี้จะมีความคืบหน้า ส่วนการพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มต่างๆในระดับพื้นที่ ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 100 เวทีและสรุปข้อเสนอส่งไปยังคณะพูดคุยสันติสุขแล้ว พร้อมมีการพบปะพูดคุยในระดับพื้นที่ต่อไป เพื่อสร้างความเข้าใจให้เห็นด้วยกับรัฐในการใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและกระบวนการพูดคุยสันติสุข

11064659_10204073664233193_3546194969940854245_nพล.ท.ปราการ กล่าวว่า “เราขับเคลื่อนแนวทางสันติวิธีตั้งแต่หัวแถวถึงท้ายแถว การทำความเข้าใจ กรอบปฏิบัติถึงแนวนโยบายของรัฐที่ต้องสัมพันธ์กับทุกหน่วยงานต้องอาศัยสื่อมวลชน เรื่องพูดคุยสันติภาพเราทำอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่การประชาคมหมู่บ้าน การพูดคุยกับทุกกลุ่ม จัดมา 100 กว่าเวทีและนำข้อเสนอในพื้นที่ไปยังระดับบนแล้ว ส่วนเรื่องเอกภาพของพื้นที่ไม่มีปัญหา ทุกหน่วยมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสำเร็จคือการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั้งในพื้นที่และทั้งประเทศ”

ด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยในเวลากลางคืน พล.ท.ปราการ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้จัดชุดเฝ้าระวังกลางคืน 290 ฐาน เพื่อซุ่มเฝ้าระวังตามถนนป้องกันคนร้ายลอบฝังระเบิดใต้ถนนที่มีขนาดใหญ่และมีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วเป็นต้นมาเหตุลอบฝังระเบิดใต้ถนนหายไป มีเพียงการนำระเบิดไปวางแบบเร่งด่วน การประกอบระเบิดทำได้ไม่ดี การสูญเสียจึงลดลง ส่วนการปฏิบัติการในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าและช่วงเย็นในช่วงเปิดเทอมมีกองกำลังประชาชน เช่น ชรบ. มายืนรักษาความปลอดภัยรวมกว่าวันละ 25,000 คน หรือ 100,000 คน ต่อ 5 วัน เป็นการสลับคนเพื่อยืนให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และครู ก็สามารถลดการก่อเหตุร้ายได้

ในเดือนถือศีลอดหรือเดือนรอมฎอนของพี่น้องมุสลิมที่จะมาถึงประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้ พล.ท.ปราการ ระบุว่าทางกอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้มีการประชุมหารือในเรื่องนี้แล้ว เช่น ปรับด่านตรวจให้เป็นด่านอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนในการปฏิบัติศาสนกิจ เตรียมจัดชุดพบปะเยี่ยมเยือนหรือร่วมละศีลอดในกรณีที่พี่น้องประชาชนต้องการ เป็นต้น ส่วนเรื่องที่วิทยุชุมชนในพื้นที่ถูกระงับไม่ให้สามารถออกอากาศชั่วคราวในเดือนรอมฎอนนั้น ได้ขอให้รัฐบาลอนุญาตสามารถออกอากาศในเดือนรอมฎอนได้แล้ว

11247510_10204073663673179_8094882271907314771_nในกรณีการวิสามัญที่บ้านโต๊ะชูด อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี พล.ท.ปราการ ได้อธิบายถึงการที่ทางกอ.รมน.ได้สรุปบทเรียนว่า ได้มีการพบปะเพื่อสร้างความเข้าใจภายในกองกำลังตลอด เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางสันติวิธีให้แก่กองกำลัง ซึ่งต้องอาศัยสื่อในการสร้างความเข้าใจด้วย ซึ่งกิจกรรมนี้ได้นำไปสู่การปฏิบัติการด้วยสันติวิธีประสบความสำเร็จมาแล้ว 5 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือกรณีการควบคุมตัวอดีตนักศึกษาที่จังหวัดนราธิวาส ที่สามารถเข้าสู่กระบวนการซักถามโดยสมัครใจ รับสารภาพต่อหน้าพ่อแม่ ภรรยา ญาติพี่น้องและโต๊ะครู ได้เปลี่ยนคนรอบข้างมองเจ้าหน้าที่ด้วยความนับถือ ถือว่าเป็นชัยชนะของสันติวิธี

พล.ท.ปราการ ยังได้กล่าวถึงกรณีการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์กรณีชาวโรฮิงญาว่า ได้สั่งกองกำลังเทพสตรีเดินเท้าตรวจสอบทุ่งพื้นที่ตามแนวชายแดนตั้งแต่จังหวัดสตูลลงมาจนถึงพื้นที่อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และ 2 จุดบนเกาะในทะเลอันดามัน ซึ่งพบว่ามีจุดตั้งแคมป์ชาวโรฮิงญารวม 29 จุด และอยู่ในฝั่งประเทศมาเลเซีย 3 จุด และได้แจ้งข่าวไปยังฝ่ายมาเลเซียแล้ว

“ได้เอาทุกฝ่ายเข้าไปรับทราบว่าพื้นที่ที่เคยถูกทำเป็นแคมป์จะถูกเปิดให้สาธารณชนรับรู้ ส่วนที่ติดกับชายแดนก็จะวางรั้วลวดหนามปิด และแจ้งไปยังเพื่อนบ้านให้มาลาดตระเวนและดูแลร่วมกัน ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารที่มีเบาะแสว่าอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เมื่อสองปีที่แล้วได้นำตัวออกจากพื้นที่ไปแล้ว ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหาจากทางตำรวจ และโรงฮิงญาที่อยู่ในชายแดนใต้จากการตรวจสอบไม่ปรากฏชัดเจนว่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น”

“สื่อเป็นสะพานเชื่อมเรื่องราวของพื้นที่ไปสู่ความเข้าใจและความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ โดยต้องการชนะใจประชาชนในพื้นที่ให้ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องอาศัยสื่อนำความจริงไปบอกกล่าวต่อสาธารณะ จุดสูงสุดคือการพัฒนาอย่างยั่งยืนในชายแดนใต้ เราลงมาเพื่อปกป้อง คุมครอง ดูแลพี่น้องประชาชน ขอให้สื่อทุกภาคส่วนช่วยในการทำงาน เจ้าหน้าที่ไปไม่ได้โดยลำพัง ต้องไปพร้อมกับสื่อ” พล.ท.ปราการ กล่าวปิดท้าย