หน้าแรก รายงาน

สื่อนอกเผยแพร่คำเล่าชาวมุสลิม พระสติของ “รัชกาลที่ ๙” ช่วยพ้นวิกฤตลอบวางระเบิดใกล้ที่ประทับระหว่างเสด็จฯ เยือนยะลา

สำนักข่าวต่างประเทศแผยแพร่คำเล่าของพสกนิกรไทยชาวมุสลิม ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยือนจังหวัดยะลาเมื่อ 39 ปีก่อน และเกิดเหตุกลุ่มก่อความไม่สงบวางระเบิดใกล้ๆ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน แต่ด้วยพระสติที่ตั้งมั่นของพระองค์ได้สร้างความอุ่นใจแก่ปวงประชาราษฎร์ จนผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตไปได้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างคำสัมภาษณ์ของนายฮายิม โมฮัมเหม็ด โตเลมา เล่าถึงเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยือนจังหวัดยะลาเมื่อ 39 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุเพียง 12 ปี ว่า ตอนผมเห็นพระองค์ ผมพูดอะไรไม่ออกเลย ผมอยู่ใกล้พระองค์มาก” ทั้งนี้ ปัจจุบันโตเลมาอายุ 51 ปี และเป็นอิหม่ามอยู่ ณ มัสยิดประจำหมู่บ้านบาลอ ในจังหวัดยะลา

โตเลมาเล่าให้รอยเตอร์ฟังต่อว่า คืนก่อนหน้านั้นเขาแทบนอนไม่หลับเลย หลังได้รับทราบจากพ่อว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะเสด็จฯ มา พอรุ่งเช้าเขาและพ่อก็เดินทางไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเพื่อเฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมกับพสกนิกรชาวไทยคนอื่นๆ อีกหลายหมื่นคน

หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานในตอนนั้นว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 47 รายในเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 1977 (พ.ศ. 2520) ขณะที่โตเลมาบอกว่าเขาจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมด สถานการณ์เต็มไปด้วยความตระหนก แต่ด้วยพระสติที่ตั้งมั่นของพระองค์ได้สร้างความอุ่นใจแก่ปวงประชาราษฎร์ “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพระองค์จะจากพวกเราไปแล้ว” เขากล่าว

จากข้อมูลบนวิกิพีเดียระบุว่า คนร้ายได้ลอบวางระเบิด 2 ลูกบริเวณปะรำพิธีใกล้ลาดพระบาทที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชินี และพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินผ่าน โดยกลวิธีในการวางระเบิดนั้น ได้วางไฟแช็กที่ต่อสายเอ็นไนลอนไว้กับวงจรของระเบิด หากมีคนหยิบไฟแช็กขึ้นมาก็จะเกิดระเบิดทันที และเมื่อประชาชนแตกตื่นก็จะเหยียบกับระเบิดลูกที่สองซึ่งจะทำให้ระเบิดลูกที่สองระเบิดขึ้น

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ประทับบนพลับพลาที่ประทับ ก็ได้มีราษฎรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จไปหยิบไฟแช็กดังกล่าวเป็นเหตุให้ระเบิดลูกแรกเกิดระเบิดขึ้น ราษฏรต่างพากันแตกตื่นและเหยียบกับระเบิดลูกที่สอง ทำให้ระเบิดลูกที่สองเกิดระเบิดขึ้น ระเบิดลูกแรกห่างจากพลับพลาที่ประทับ 60.15 เมตร ห่างจากลาดพระบาท 5.20 เมตร และระเบิดลูกที่สองห่างจากพลับพลาที่ประทับ 105.15 เมตร ห่างจากลาดพระบาท 6.00 เมตร แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก

ขณะเกิดเหตุนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยืนประทับอยู่กับที่และทอดพระเนตรมองเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ยืนรายล้อมถวายการอารักขา ในขณะที่พิธีการต้องหยุดชะงักชั่วครู่

ภายหลังเกิดเหตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่อไป โดยมิได้แสดงพระอาการปริวิตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีพระราชดำรัสให้ทุกคนมีจิตใจเข้มแข็งไม่ตื่นเต้นต่อสถานการณ์ เมื่อจบคำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาฯ ทรงนำเหล่าราษฎรร้องเพลง “เราสู้” และภายหลังเสร็จพระราชกรณียกิจ เวลา 18.55 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลจังหวัดยะลา

รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงอุทิศพระวรกายพัฒนาคุณภาพชีวิตของพสกนิกรคนยากจนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วไทย ที่ ณ เวลานั้นถูกรุมเร้าด้วยพวกคอมมิวนิสต์และกบฏแบ่งแยกดินแดนมุสลิม

รอยเตอร์ระบุว่า พวกคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ไปเมื่อนานมาแล้ว แต่เหตุความไม่สงบทางภาคใต้ของไทยที่มีชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มใหญ่โหมกระพือขึ้นอีกครั้งในปี 2004 และนับตั้งแต่นั้นมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 6,500 ราย

ธงตามอาคารรัฐบาลต่างๆ ในจังหวัดยะลาก็เหมือนกับจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศที่มีการลดธงครึ่งเสา แต่ในขณะที่พระบรมฉายาลักษณ์ประดับอยู่ทั่วประเทศ จะพบเห็นได้แค่เล็กน้อยในจังหวัดยะลา อันเนื่องจากธรรมเนียมของชาวมุสลิมจะไม่นำภาพถ่ายบุคคลที่เสียชีวิตมาติดไว้เพื่อเคารพบูชา

“การที่เราไม่ได้ประดับพระบรมฉายาลักษณ์หรือสวมเสื้อผ้าสีดำ ไม่ได้หมายความว่าภายในจิตใจของเราไม่ได้เจ็บปวด” โตเลมากล่าวกับรอยเตอร์ คำพูดนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของพันเอก ยุทธนา เพชรม่วง โฆษกกองทัพบกที่ระบุว่า “ชาวมุสลิมต่างโศกเศร้ายิ่ง แต่พวกเขาก็แสดงออกในแนวทางของตนเองที่สอดคล้องกับหลักศาสนา”

โตเลมาบอกกับรอยเตอร์ว่า ทุกวันนี้เขาสอนชุมชนของเขาเกี่ยวกับงานด้านสาธารณสุขและเกษตรกรรมที่พระองค์ทรงริเริ่ม และแนวทางที่พระองค์ทรงพยายามเยียวยาความแตกแยกของสังคม “พ่อของผมพูดกับผมหลายปีหลังจากวันที่พระองค์เสด็จฯ มาว่า พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ไม่เหมือนกับรัฐบาลไหนๆ เพราะพระองค์เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่พยายามทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น”

 

ที่มา http://www.manager.co.th/