หน้าแรก บทความ

กระแสต่อต้าน “มูลนิธิ SM Amin” ในจชต. การเมืองหรือการปั้นน้ำให้เป็นตัว?

ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขออนุญาตออกตัวก่อนว่า ผู้เขียนไม่ได้เกาะติดกระแสของการเข้ามาเคลื่อนไหวของมูลนิธิหนึ่งจากประเทศเพื่อนบ้านชนิดตามติดทุกระเบียบนิ้วไม่แต่อย่างใดมากนัก เพียงแค่อาศัยการเฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของผู้เขียนเองและสังคม จนบางครั้งการที่ผู้เขียนเองจะเลือกประเด็นดังกล่าวนี้มานำเสนอ ค่อนข้างที่จะหนักหัวสมองอยู่ไม่เบา ในเมื่อประเด็นเช่นนี้ค่อนข้างความอ่อนไหวอย่างยิ่งที่เราจะหยิบยกมานำเสนอ ยิ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องสงวนท่าทีให้มากที่สุด มิเช่นนั้นจะถูกประณามและถูกกล่าวหาว่า เราอาจฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยปราศจากความมีเหตุและผลมาตัดสินใจ

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่ยังคงคลุ่มเครืออยู่ในตอนนี้ กลับถูกนำเสนอในด้านมืดมากกว่าด้านบวก บ้างก็ว่ามูลนิธิดังกล่าวเป็นของผู้ฉ้อฉลคดโกง เป็นการฉวยโอกาสนำเอาศาสนามาหากิน พยายามสร้างตนเป็นคนดีในคราบนักบุญที่เปี่ยมไปด้วยความมั่งคั่งในทรัพย์สิน และอีกสารพัด

ยิ่งไปกว่านั้น เขาผู้นั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นนักเผยแพร่คำสอนที่ผิด โดยที่ไม่รู้ว่าคำสอนที่ว่านั้นมันมีแก่นสารเช่นไร หรือแค่การเห่าแมวให้หนูกลัว นี่คือสิ่งที่สังคมจะต้องหาคำตอบก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ต่วนกู การาเมง ซักตี หรือ จริงอัซฮัร บิน วาฮับ
ต่วนกู การาเมง ซักตี หรือ จริงอัซฮัร บิน วาฮับ

มูลนิธิ SM Amin คือใคร?

มูลนิธิ SM Amin เป็นองค์กรช่วยเหลือด้านการกุศลและสังคมสงเคราะห์ในนาม SM Amin ซึ่งแต่เดิมเคลื่อนไหวอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้านมาเลเซีย ก่อนที่จะเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงไม่กี่ปีมานี้ ภายใต้ชื่อ มูลนิธิ SM Amin สาขาประเทศไทย ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลพบว่า มูลนิธิแห่งนี้ก่อตั้งโดยบุคคลที่อ้างชื่อว่า ต่วนกู การาเมง ซักตี (TuankuKaramengSakti) จริงชื่อเดิมมีนามว่าอัซฮัร บิน วาฮับ

แต่ถึงยังไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้เขียนยังไม่เคยได้รับรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่ผิดหรือขัดกับหลักอากีดะฮ์อย่างที่เขาถูกกล่าวหาไม่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการบริจาคทานมากกว่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นการให้เปล่ามากกว่าต้องมีการตอบแทนแลกเปลี่ยน หรือต้องเป็นสมาชิกในสำนักของเขา (หากว่าเขามีหลักความเชื่อที่ผิดแปลกที่มีวัตถุประสงค์ในการเข้ามาเคลื่อนไหว)

กิจกรรมที่พบบ่อยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คือจะเป็นประเภทการจัดกิจกรรมภาคสนาม โดยมีการแจกสิ่งของให้กับคนยากจน เด็กกำพร้า แจกขนม ไอศกรีม ตามวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการบริจาค โดยยังไม่พบการเข้ามาเผยแพร่ความเชื่อที่ผิดๆ อย่างที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

ซึ่งหากไปย้อนดูประวัติถึงความร่ำรวยของเขาจะพบว่า เขาได้ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจชนิดหนึ่ง จนทำให้เขามีฐานะพอที่จะแจกแจงทรัพย์สินของเขาให้กับกลุ่มสังคมที่ขาดโอกาส อย่างที่ได้เปิดเผยโดย นายสุไฮมี ลาสะ อดีตประธานเปอร์มัส ได้วิเคราะห์ลงในเฟสบุคส่วนตัวว่า “ข้อมูลบางส่วนที่ผมได้ค้นหาพบว่าSM Amin เป็นชื่อเรียกของนักธุรกิจน้ำมันปาล์มผู้มั่งคั่งในมาเลเซีย ชื่อจริงของเขาคือ อัซฮัร วาฮับ (AzharWahab) เป็นเศรษฐีใหญ่แห่งรัฐเคดาห์ในมาเลเซีย ร่ำรวยจากการทำธุรกิจปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย จนได้รับสมญานามว่า “RAJA SAKTI” จากรัฐบาลอินโดนีเซีย ปัจจุบันSM Amin มีปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกับสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์ อันเนื่องจากความร่ำรวย (แล้วชอบบริจาคเกินหน้าเกินตาสุลต่าน) และสมญานาม”สุลต่าน” ที่เขาได้รับ (นอกจากถูกเรียกว่าสุลต่านแล้ว SM Amin ยังชอบแต่งตัวด้วยชุดสีเหลืองเลียนแบบการแต่งกายของสุลต่านอีกด้วย ทำให้สุลต่านแห่งรัฐเคดาห์ไม่ชอบเขามากๆ) ปัจจุบันSM Amin พำนักอยู่ในรัฐเคดาห์ประเทศมาเลเซีย มีบ้านหลังใหญ่โต รถสปอร์ตคันงาม ใช้ชีวิตหรูหราและมีสมบัติมากมาย และไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรัฐบาลมาเลเซีย (ยกเว้นว่ามีปัญหาส่วนตัวกับสุลต่านเคดาห์เท่านั้น)”

และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่เราเองจะต้องมาวิเคราะห์อีกทีว่า กระแสการต่อต้านที่กำลังเป็นอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ ณ ตอนนี้ เกิดจากความจริงของพฤติการณ์ขององค์กรดังกล่าว หรือเกิดขึ้นจากการสร้างกระแสเพื่อฟิตนะฮ์ อันเนื่องมาจากการเมืองภายในประเทศของเขา จนบานปลายมาสู่การดิสเครดิตสู่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้(ปาตานี) อย่างที่เป็นอยู่ ทั้งๆ ที่ปัจจัยและปฐมภูมิของสาเหตุที่จะก่อให้เกิดความเป็นฟิตนะฮ์ในด้านความเชื่อนั้น แทบไม่มีด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเขาว่ามาอย่างนั้น เราก็เชื่อตามอย่างนั้น

เมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย

ดูเหมือนเหตุการณ์เริ่มจะส่อไปในทางที่บานปลายมากยิ่งขึ้น เมื่อมีการเผาสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ได้เตรียมไว้ในการจัดงานของมูลนิธิดังกล่าว ที่ถูกชาวบ้านในพื้นที่ อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี และชาวบ้านในพื้นที่ อ่าวมะนาว จ.นราธิวาส ร่วมกันต่อต้านไม่ให้มีการจัดงานขึ้น

14442601_1168996186491410_1822743975_n

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่โตมากนัก นอกจากเป็นที่รับรู้ของคนในสังคมในละแวกใกล้เคียงและกระแสข่าวในโลกโซเชียลมากกว่า ก่อนที่เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจะหายเงียบไปในสายลมเช่นวานวัน แต่อย่างไรก็ตามได้มีข่าวว่า ล่าสุดแหล่งข่าวแจ้งว่าทางองค์กรดังกล่าว มีแผนจะจัดงานในพื้นที่ บ้านต้นไทร จ.นราธิวาส โดยการเข้าหาผู้มีบทบาทในพื้นที่ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมขององค์กร (ข้อมูล จากเพจ เสียงจากแผ่นดินแม่)

ขอบคุณภาพจาก เพจ เสียงจากแผ่นดินแม่
ขอบคุณภาพจาก เพจ เสียงจากแผ่นดินแม่

และภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์มีการเผาเต้นท์ที่จะมีการจัดงานของ SM Amin ทีริมชายหาดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนราธิวาส ทางเพจเฟสบุ๊คที่ของมุลนิธิเอสเอ็มอามีนสาขาประเทศไทย ที่ใช้ชื่อว่า Yayasan SM AMIN Thailand ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้

“สำหรับผู้ติดตามเพจ มูลนิธิ ยายาซัน เอสเอ็ม อามีน ไทยแลนด์ คงได้ทราบข่าวกันแล้วว่า งานการกุศล งานต้อนรับวันฮารีรายออีดิ้ลอัดฮา 1437 ที่ทางมูลนิธิ วางแผนตั้งใจและตั้งความหวังไว้ว่าจะจัดขึ้นภายในวันที่ 24 กันยายนที่จะมาถึงนี้ ต้องยกเลิกไป

แต่ถึงอย่างไร ก็จะมาบอกกล่าวอย่างเป็นทางการ ว่างานนี้ได้ถูกยกเลิกไปจริงๆ และทางเรา ทางมูลนิธิ และทีมงานทุกๆคนก็ขอแสดงความเสียใจ และขออภัยที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ ขออภัยสำหรับคนที่ตั้งตารอคอย การจัดงานการกุศลของทางเรา ขอขอบคุณและขออภัย สำหรับทุกๆฝ่าย ที่คอยช่วยเหลือ และคอยอำนวยความสะดวกในการจัดงานครั้งนี้

และที่สำคัญ ทางมูลนิธิเราต้องขออภัยต่อหลายๆภาคส่วน ที่ทางเรา ละเมิด และเข้าไปสร้างความวุ่นวายให้คนในพื้นที่ของท่าน ถึงแม้แล้วความประสงค์ใจจริงของทางเราต้องการ คือการเข้าไปช่วยเหลือ รักษา และเยียวยาจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่พวกท่านต้องพบเจอมานับสิบปี ทางเรารู้ดี ว่าตอนนี้พวกท่านกำลังท้อแท้ใจ ที่ต้องทนเห็นความสูญเสีย ของคนมุสลิมด้วยกันจากไปทีละคนๆ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้มีหลายๆครอบครัวเกิดความไม่สมบูรณ์ บางคนขาดพ่อ บ้างก็ขาดแม่ และอีกหลายคนๆ ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไป เกิดเด็กกำพร้าอย่างต่อเนื่อง เพราะเหตุดังกล่าวจึงทำให้ทางเราตัดสินใจที่จะลองลงพื้นที่ไปเพื่อสำรวจ และให้การช่วยเหลือ รวมทั้งจัดงานการกุศล/ต้อนรับวันฮารีรายออีดิ้ลอัดฮาที่นั่น ทั้งๆที่รู้ดีว่าเคยเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างในพื้นที่ดังกล่าว *และเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับทางเรา เหตุการณ์ที่ต้องสูญเสีย อาหารแห้งและสิ่งของต่างๆ ที่เตรียมการไว้เพื่อจะมอบให้เด็กกำพร้า เด็กที่รอคอยการช่วยเหลือจากเรา ความหวังของพวกเขาเหล่านั้น พังไปพร้อมกับไฟที่ม้อดไหม้อย่างลุกโชน “แท้จริงแล้ว ความเกลียด ความอาฆาต มักจะนำพาไปสู่ความหายนะเสมอ และมักจะมาพร้อมกับบาปอันใหญ่หลวง”

และที่สำคัญ “ความน่ากลัวของการทำผิด เพราะเกิดจากการปกครองแบบเผด็จการ มักนำพาไปสู่ความโศกเศร้า และความมืดมนในวันพิพากษา”

#สุดท้าย ทางเราหวังอยากเห็นรอยยิ้มของพวกท่าน หวังอยากเห็นความเปิดอกเข้าใจกัน แต่ในเมื่อพวกท่าน เลือกที่จะให้ความเกลียดชัง และฟิตนะห์แก่ทางเรา ทางเราจะไม่โกรธและไม่เกลียดชังพวกท่านกลับ แต่จะยอมถอยโดยดี และขอขอบคุณมากที่ให้บทเรียนแบบนี้กับทางเรา โบกมือลานราธิวาส”

นี่คือถ้อยความจากผู้ดูแลเพจของมูลนิธิเอสเอ็มในประเทศไทย ออกมาแสดงความเห็นหลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในจังหวัดนราธิวาสดังกล่าว

คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสสั่งแบน

และล่าสุดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส ได้ออกหนังสือชี้แจงกรณี tuankukaramengsakti โดยมีเนื้อหาพอสรุปได้ดังนี้

ถึง อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และมะมุน(สัปบุรุษ) ทั้งจังหวัดนราธิวาส

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จังหวัดนราธิวาส ได้มีตรวจสอบ และมีหลักฐานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย บูกิติามามาน, ศูนย์ราชการรัฐเคดาห์ และสำนักงานคณะกรรมการอิสลาม ขนบธรรมเนียม ประเพณี มลายู โกตาบารูรัฐกลันตัน พบว่า บุคคลที่อ้างชื่อว่า ต่วนกู การาเมง ซักตี(TuankuKaramengSakti) อันที่จริงชื่อเดิมมีนามว่าอัซฮัร บิน วาฮับ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ถูกยกเลิกใบอนุญาตสถานศึกษาโดยรัฐเคดาห์ ในปี 2014 ในข้อหาเผยแพร่คำสอนที่บิดเบือนที่ขัดแย้งกับคำสอนของอะห์ลีซุนนะห์วัลญามาอะห์

ดังนั้นในนามสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส จึงขอยกเลิกหนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว และขอเชิญชวนชาวนราธิวาสทุกท่านอย่าให้การตัอนรับและอย่าให้ความร่วมมือกับบุคคลดังกล่าว ตลอดจนบุคคลที่ให้การสนับสนุน

จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

นายชาพีอี เจ๊ะเลาะ
ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส

สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณี tuankukaramengsakti
สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณี tuankukaramengsakti

อย่างไรก็ตามความจริงเป็นเช่นไรเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกๆ คน ที่คิดจะเชื่อตามกระแสหรือจนกว่าจะมีหลักฐานที่เป็นที่ประจักษ์ว่า เขาผู้นั้นคือคนที่มีความอันตรายต่อสังคมในบ้านเราจริง หรือจะเชื่อตามกระแสก็เป็นสิทธิของแต่ละคน

เพราะจากการสืบค้นติดตามความเคลื่อนไหวของมูลนิธิดังกล่าวนี้ในประเทศมาเลเซีย ยังคงมีการจัดกิจกรรมการบริจาคอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ดำเนินการแบบลักลอบแอบตีแต่แต่อย่างใด อย่างคงมีการแจกขนมให้กับเด็กๆ แม้กระทั่งมีการแจกบ้านให้กับผู้ยากไร้ ส่วนบุคคลที่นำภาพในสมัยอดีตมาเป็นเฟตุผลในการตีแผ่ความไม่ดีของคนอื่นที่เคยผ่านล่สงมาแล้ว คงไม่มีเหตุผลมากนักที่จะเอาภาพดังกล่าวมาลบล้างหรือเพียงดเพื่อจะบอกให้สังคมได้รับรู้ว่า คนๆ นี้ ไม่ได้ประเสริฐศรีแต่ประการใด เพียงเพราะพฤติการณ์ของเขาในอดีต

สุดท้ายใครจะเชื่อยึดมั่นถือมั่นเข่นไรก็โปรดใช้ดุลยพินิจเอาเอง หวังว่าความมีเหตุและผลที่ผู้เขียนพยายามนำเสนอนั้น จะเป็นเหตุผลให้กับทุกท่านในการพินิจพิเคราะห์ในการใช้วิจารณญาณในการรับมือข่าวสารในโลกที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วชนิดไม่ทันสังเคราะห์ข้อมูลทุกอย่างเอ่อล้นเต็มสมองไปหมดแล้ว