หน้าแรก รายงาน

สาเหตุการเสียชีวิตของ “สุอนันท์” ในเหตุจลาจลเรือนจำปัตตานี ที่ยังคาใจผู้เป็น “พ่อ”

สุริยา ป้องเศร้า พ่อของ สุอนันท์ ป้องเศร้า

“ผมขอความจริง ข้อมูลที่เป็นความจริง อย่าโกหกกัน“ สุริยา ป้องเศร้า พ่อของ “สุอนันท์ ป้องเศร้า” ผู้ต้องขังที่เสียชีวิตในเรือนจำกลางปัตตานี จากเหตุการณ์จลาจลเมื่อคืนวันที่ 15 กรกฏาคม 2559 ที่ผ่านมา บอกด้วยน้ำสียงจุกที่ลำคอพร้อมน้ำตาคลอเบ้าเมื่อพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์นั้นเป็นข่าวโด่งดังทั่วประเทศ จากรายงานข่าวของสื่อมวลชนในขณะเกิดเหตุการณ์จลาจลที่เรือนจำกลางปัตตานีระบุ มีผู้เสียชีวิต 3 คน ซึ่งเสียชีวิตขณะเกิดเหตุ คือ “นายสุอนันท์ ป้องเศร้า” อดีตทหาร จากการถูกแทง “นายเสริม จันทร์สุนทร” ถูกเผาร่าง และ “นายเกียรติศักดิ์ จันทร์ดวง” ถูกเผาร่างเช่นกัน โดยรายงานระบุว่าทั้ง 3 คนเป็นนักโทษชั้นดี เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานราชทัณฑ์

เมื่อไม่นานมานี้ ในการทำบุญครบ 40 วันของการจากไปของลูกชาย ครอบครัวป้องเศร้าซึ่งอยู่ในบ้านวังกว้าง ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี ได้ทำบุญให้สุอนันท์ เพื่อนพี่น้องมุสลิมและต่างศาสนิกในชุมชนและต่างชุมชนพากันมาร่วมงานตลอดวัน ด้วยความมีอัธยาศัยดีของครอบครัวนี้กับพี่น้องในชุมชนและผู้คนที่รู้จัก

สุริยา ซึ่งรับราชการมานานด้านความมั่นคง นั่งบอกเล่าความรู้สึกของผู้เป็นพ่อและเรื่องราวของลูกชายให้ฟังว่า “เขาเรียนทางด้านศาสนา เมื่อก่อนอยู่กับย่า จนย่าเสียชีวิต ไปสอบนายสิบได้ แล้วไปอยู่ที่ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จนญาติหลอกให้ไปช่วยเอารถมือสองที่กรุงเทพฯ ปากฎว่ารถนั้นใช้ขนยาเสพติด ซึ่งเขาไม่รู้เรื่องอะไรแต่มีหลักฐานในรถ ถูกตัดสินจำคุก 30 ปี เขาเพิ่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำกลางปัตตานีมาสองปีกว่า เราไปเยี่ยมกันบ่อย ก่อนเสียชีวิตคือหลังรายอแน คือการได้พบหน้ากันครั้งสุดท้าย”

ช่วงวันเกิดเหตุจลาจล สุริยาบอกว่าติดตามข่าวตลอด แต่ไม่มีชื่อลูกชายก็เบาใจ จนเช้าวันที่ 16 จึงได้ทราบข่าวว่าลูกชายเสียชีวิตจากเหตุการณ์จลาจลด้วยการถูกแทง

“ทราบเรื่องราวจากญาติและเพื่อนของเขาที่อยู่ในเรือนจำว่า คืนนั้นเขาละหมาดอีซาเสร็จ ลงมา 3 คนพร้อมเพื่อนและญาติจากเรือนนอนของผู้ต้องขังคดีความมั่นคง เขาถูกยิง ยิงระยะเผาขน ตัดขั้วหัวใจ เขาถูกยิงจริงๆ ด้วยกระสุนจริง ไม่ใช่กระสุนยางจากเจ้าหน้าที่ที่ปิดหน้า ด้วยกระสุน 9 มม.ซึ่งเล็กมาก เมื่อถูกยิงแล้วเขาล้มแต่เลือดไม่ออก คั่งอยู่ข้างใน เพื่อนเข้าไปอุ้มก็ตายในอ้อมกอดเพื่อน มีคนเห็นเยอะว่าเขาถูกยิงจริง ซึ่งเป็นการสาดกระสุนมาทางเรือนนอนของผู้ต้องขังคดีความมั่นคงอย่างเดียว”

หากข่าวที่สื่อสารออกไปคือ สุอนันท์เสียชีวิตด้วยการถูกแทง และบอกอีกว่ากำลังจะได้รับการลดโทษ รวมทั้งเป็นนักโทษดีเด่น ทั้งที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำได้สองปีกว่า ซึ่งสุริยาบอกว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องจริง

“เขาถูกยิงด้วยกระสุนจริง และตายตั้งแต่ตอนนั้นคือประมาณสองทุ่ม แต่ข่าวที่ออกตอนนั้นคือไทยพุทธเสียชีวิตสองคน ไม่มีชื่อลูกออกมาเลย พยายามติดตามข่าวทุกทาง จนวันที่ 16 มีโทรศัพท์มาบอกให้ไปรับศพลูก ผมเกือบช็อค ไปทำเรื่องรับศพที่โรงพยาบาล แล้วเอามาที่บ้าน ศพเขาไม่มีกลิ่นเลือด เหมือนคนนอนหลับ ต้องบีบเอาเลือดที่คั่งออกหมด ไม่มีร่องรอยการถูกแทงอะไรเลย แต่ทางเรือนจำบอกว่าถูกแทง ทางแพทย์ก็ชันสูตรว่ามีเลือดคั่ง แต่ไม่บอกว่าเพราะอะไร เข้าใจว่าเขาต้องทำตามหน้าที่ แต่อยากให้พูดในเรื่องความจริง ไม่อยากให้ลูกต้องตกเป็นจำเลยสังคมแม้ตายไปแล้ว”

ในประเด็นสลายการชุมนุม สุริยาตั้งคำถามว่า ทำไมไม่ตัดสินใจสลายตั้งแต่ไม่มืดค่ำ ในเมื่อมีความชัดเจนของผู้ก่อเหตุ ปล่อยให้เวลาล่วงเลยถึงกลางคืน แล้วเกิดความสูญเสียอย่างที่ได้รับ การตัดสินใจที่ชัดเจนจึงมีผลอย่างยิ่งต่อการรักษาชีวิตของคน

สุริยาบอกว่าทราบข่าวถึงรอยกระสุนที่ถูกยิงในเรือนจำถูกทาสีทับไปแล้ว หากถ้าเป็นกระสุนยางคงไม่สามารถเจาะกำแพงหรืออะไรได้และไม่มีร่องรอย แต่เขาบอกว่าเพราะคือการใช้กระสุนจริง ซึ่งมีพยานเห็นถึงการยิงและใช้กระสุนในคืนนั้น แต่จะมีการเชื่อถือคำให้การของพยานเหล่านั้นหรือไม่

“คิดว่าถ้าสู้คดีก็คงไม่ชนะ ใครจะมาเป็นพยานให้ ทั้งที่มีผู้ต้องขังจำนวนมากเห็นเหตุการณ์ แล้วใครจะเชื่อคำให้การของพวกเขา เพราะคิดว่าพวกเขาเป็นนักโทษ แต่เราคือผู้สูญเสียไม่ขอเอาการหลอกลวงหรือความเท็จมาพูดแน่นอน ขอความเป็นจริง ข้อมูลที่เป็นจริง อย่าโกหกกัน นี่คือปัญหาของสามจังหวัด คือ การไม่พูดความจริงและเป็นข้อมูลคนละชุด จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้”

เขายังบอกต่อว่า ลูกชายสนิทกับผู้ต้องขังคดีความมั่นคงเพราะลูกเรียนศาสนามา ได้พูดคุยกันซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีการศึกษา และเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากผู้ต้องขังคดีความมั่นคง หากเป็นผู้ช่วยเหลือในเรื่องของภาษามากกว่า

ลูกชายวัย 5 ขวบของ สุอนันท์
ลูกชายวัย 5 ขวบของ สุอนันท์

สุอนันท์ มีลูกชายวัย 5 ขวบหนึ่งคน กำลังเรียนชั้นอนุบาล ซึงตอนนี้ได้อยู่กับมารดาซึ่งพักอยู่ไม่ไกลจากละแวกบ้านของปู่ย่ามากนัก ซึ่งสุริยาบอกว่า เมื่อหลานชายรู้ว่าพ่อเสียชีวิต ไม่กินข้าวไปหลายวัน เศร้าซึม บอกกับคนอื่นๆ ว่า อาบ๊ะ(พ่อ)เสียแล้ว ตอนนี้เริ่มดีขึ้นบ้าง ครอบครัวก็จะช่วยกันดูแลหลานคนนี้ตลอดไป เมื่อเห็นหน้าหลานก็ยิ่งคิดถึงลูกเพราะหน้าตาเหมือนกัน

“ผมทำงานกับฝ่ายความมั่นคงมาตั้งแต่ปี 2533 รู้ว่าอะไรคืออะไร ขอย้ำถึงการออกมาพูดความจริง เพราะลูกชายไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจลาจลเลย หากถูกยิงด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ขอให้มีการสอบสวนหาความจริงด้วย จะได้มีความสบายใจ ความจริงคือสิ่งไม่ตาย หากคนที่ตายไปแล้วไม่ควรมีมลทินติดไปด้วย”

สุริยาขอฝากถึงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ให้ดำเนินการด้วยความเป็นธรรม

ทั้งนี้ ในการช่วยเหลือเยียวจากยุติธรรมจังหวัดปัตตานี ทั้งสามรายที่เสียชีวิตได้รับการเยียวยารายละ 100,000 บาท ส่วนการเยียวยาด้ายอื่นๆ ต้องรอการประชุมอีกครั้ง