หน้าแรก ข่าวในประเทศ ข่าวชายแดนใต้

เจ้าหน้าที่ยัน ผู้ต้องหาความมั่นคงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลเรือนจำปัตตานีแม้แต่คนเดียว

ขอบคุณภาพประกอบจากมติชน

เจ้าหน้าที่แถลงข่าวเหตุก่อจลาจลพื้นที่เรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี ยันผู้ต้องขังคดีความมั่นคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จลาจลในครั้งนี้แม้แต่คนเดียว

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2559 ที่ห้องประชุม สถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี มีการแถลงข่าวเหตุก่อจลาจลพื้นที่เรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี โดยมีนายวีรนันทร์ เพ็งจันทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายนพพร รัตนวัย ผู้บัญชาการเรือนจำกลางปัตตานี พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ วังสุภา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) และนายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี

นายนพพร รัตนวัย ผู้บัญชาการเรือนจำกลางปัตตานีกล่าวว่า สาเหตุของการเกิดจลาจลภายในเรือนจำกลางปัตตานีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา สาเหตุมาจากนักโทษ 2 คน ซึ่งเคยก่อเหตุจลาจลในเรือนจำกลางจังสงขลา ช่วงปี 2558 ต่อมาถูกย้ายไปอยู่ที่ในเรือนจำกลางนราธิวาส และย้ายมาอยู่เรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี ประมาณ 2 เดือน ส่วนสาเหตุที่ 2.ตั้งแต่ผมเข้ามาเป็นผู้บัญชาการเรือนจำกลางปัตตานีประมาณ 9 เดือนที่ผ่านมา ผมให้เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางปัตตานีกวดขันอย่างมากสำหรับยาเสพติดและโทรศัพท์ จึงทำให้ผู้ต้องขังไม่พอใจ

“ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จลาจลในครั้งนี้ แม้แต่คนเดียว” นายนพพร กล่าว

นายนพพร กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีการย้ายผู้ต้องขังที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จลาจลในครั้งนี้จำนวน 333 คน ซึ่งย้ายไปอยู่เรือนจำในพื้นที่จังหวัดสงขลา หลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว ผู้ต้องขังคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จลาจลจะถูกนำตัวกลับมายังเรือนกลางจังหวัดปัตตานีอีกครั้ง ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินตามกฎหมายต่อไป

นายนพพร กล่าวอีกด้วยว่า ลำดับเหตุการณ์ที่เกิด เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ระหว่างที่ผู้ต้องขังกำลังจะขึ้นโรงนอน เกิดเหตุการณ์ผู้ต้องขังปาก้องหินใส่เจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขัง ทำให้เจ้าหน้าที่วิ่งหนีออกจากเรือนจำ และทำให้เจ้าหน้าได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ต่อมาผมประสานงานไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวกับในพื้นที่จังหวัดปัตตานี เพื่อคลี่คลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ต่อมาผู้ต้องขังต้องการเจรจากับผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีติดภารกิจอยู่ที่กรุงเทพมหานคร กับนายแวดือราแม จึงได้ติดต่อไปยังนายแวดือราฯ เพื่อเข้าไปเจรจากับผู้ต้องขัง ซึ่งผู้ต้องขังเรียกร้อง 3 ข้อ ต่อมาเพิ่มเป็น 11 ข้อ เจ้าหน้าที่มองว่าไม่สามารถรับข้อเสนอได้เนื่องจากผิดกฎหมาย ต่อมาผู้ต้องขังจึงมีการเผาเพลิงภายในเรือนจำกลางปัตตานี ทำให้เกิดความเสียหายจำนวน 4,000,000 บาท

นอกจากนี้ทำให้มีผู้ที่เสียชีวิต 3 ราย โดยมีรายชื่อดังนี้ 1. นช.เกียรติศักดิ์ จันทร์ดวง 2.นช.เสริม จันทร์สุนทร 3.นช.สุอนันนต์ ป้องเช้า โดยสองคนแรกเสียชีวิตภายในเรือนจำ ส่วนอีกคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จนกระทั่งเวลา 02.000 น.เจ้าหน้าที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้

ด้านพล.ต.ต.ทะนงศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อได้รับการประสานงานจากหน่วยทีเกี่ยวข้องเพื่อคลีคลายเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปเข้าคลีคลายโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง โดยไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ทำให้ไม่มีคนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตแต่อย่างใด นายแวดือราแม กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จลาจลครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พยายามอย่างที่สุดในการเจรจาหรือใช้สันติวิธีกับผู้ต้องขัง แต่ไม่ประสำเร็จ เจ้าหน้าที่จึงใช้กำลังเพื่อคลีคลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด

อนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม2559 กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมได้ออกแถลง ข้อเท็จจริง “กรณีการก่อจลาจลในเรือนจำกลางปัตตานี ตามที่เกิดเหตุการณ์ จลาจลภายในเรือนจำกลางปัตตานี เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 เวลาประมาณ 16.30 น.กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้

สาเหตุเกิดจากเข้มงวดกวดขัน ในการตรวจค้นโทรศัพท์มือถือและยาเสพติดในเรือนจำ รวมถึงการจัดระเบียนเรือนจำ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและง่ายต่อการตรวจค้น จนทำให้ผู้ต้องขัง 2 ราย ไม่พอใจ ผู้บัญชาเรือนจำกลางปัตตานี จึงขออนุญาตย้ายผู้ต้องขังดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งทำให้ผู้ต้องขังทั้ง 2 ราย ที่เป็นแกนนำในการก่อจลาจลในครั้งนี้รวบรวมผู้ต้องขังคนอื่นๆ รวมเป็นจำนวน 200 ราย ก่อจลาจลในเวลา 16.02 น.และเหตุการณ์ได้ลุกลามจนกระทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐได้สนธิกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ได้ในที่สุด

กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ขอเรียนชี้แจงว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดและเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดในกรณีนี้ โดยได้จัดตั้งหน่วยบัญชาการ ทั้งในส่วนกลางกรมราชทัณฑ์ เพื่อรับรายงาน ประเมินสถานการณ์ และสั่งการแก้ไข้ปัญหา ไปยังหน่วยงานบัญชาการในพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้ประสานหน่วยงานอื่นๆ ในพื้นที่ ได้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ทหาร ตำรวจ และพนักงานดับเพลิง รวมถึงเรือนจำกลาง ประธานเขต เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น

จากนั้นได้ทำการเจรจาต่อรองกับผู้จลาจล ซึ่งขณะนั้นได้ก่อความรุนแรง โดยการเผาอาคารที่ทำการฝ่ายควบคุม ทำร้ายเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และผู้ต้องขังอื่น รวมถึงได้ยื่นขอเสนอ 11 ข้อ โดยผู้บัญชาการเหตุการณ์ยังไม่อนุญาตให้มีการใช้กำลัง แต่ให้แยกผู้ต้องขังที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกมาจากกลุ่มที่ก่อจลาจล

เมื่อการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.20 น.ผู้ต้องขังดังกล่าวได้ร่วมกันเผาประตูเรือนจำ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแตกหัก หลบหนีออกเรือนจำ เมื่อได้รับรายงานสถานการณ์ดังกล่าวให้แก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงแล้ว จึงได้มีการมอบพื้นที่ให้แก่ทหารและตำรวจในพื้นที่ดำเนินการใช้กำลังในการควบคุมเหตุการณ์ได้ เวลา 23.00 น. เนื่องจากผู้ต้องขังกลุ่มที่ก่อการจลาจลไม่รับข้อเสนอต่างๆ แม้ว่าเรือนจำยอมทำตามข้อเรียกร้องของผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวแล้วก็ตาม หากแต่ยังคงกระทำการรุนแรง โดยมีการเผาสถานที่ราชการเพิ่มจนเป็นเหตุให้ต้องใช้กำลังในการควบคุมสถานการณ์ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่กำหนดไว้ และยังได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้ต่อผู้ต้องขังส่วนใหญ่และประโยชน์ของราชการ

ทั้งนี้ เรือนจำกลางปัตตานี ได้ทำการย้ายกลุ่มผู้ต้องขังที่ก่อจลาจลไปยังเรือนจำต่างๆ โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารสำหรับญาติผู้ต้องขัง ซึ่งหากต้องการรับทราบข้อมูลของลูกหลาน ในกรณีดังกล่าว สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เรือนจำกลางปัตตานีเบอร์ 073-414-254 หรือ ศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่ ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประชาชนทั่วไป ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมญาติของผู้ต้องขังทุกฝ่าย จะเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และหากมีข้อสงสัยประการใด กรมราชทัณฑ์ยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สรุปความเสียหาย 1.เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ บาดเจ็บจำนวน 2 ราย 2.ผู้ต้องขังได้รับบาดเจ็บ จำนวน 7 ราย 3.ผู้ต้องขังเสียชีวิต 3 ราย 4.อาคารทีทำการฝ่ายควบคุม อาคารอเนกประสงค์ อาคารฝ่ายการศึกษา รวมจำนวน 3 หลัง