กูรูด้านวารสารศาสตร์สันติภาพย้ำการเสนอข่าวแบบแพ้-ชนะ คือตัวเร่งขยายความรุนแรง การปฏิรูปการนำเสนอข่าวของสื่อทั่วโลกมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ วารสารศาสตร์สันติภาพสะท้อนภาพใหญ่ในสังคม สื่อท้องถิ่นคือผู้ส่งต่อข้อมูลจากคนชายขอบ แนะต้องปฏิรูปวารสารศาสตร์ของไทย
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 ในงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง “การสื่อสาร ความขัดแย้ง และกระบวนการสันติภาพ : ภูมิทัศน์ความรู้จากเอเชียและจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย” (Communication, Conflicts and Peace Processes :Landscape of Knowledge from Asia and the Deep South of Thailand) หรือ CCPP ที่วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี รศ.ดร.Jake Lynch ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความขัดแย้งและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “วารสารศาสตร์สันติภาพเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง” โดยรศ.ดร.Jake Lynch ได้ทุ่มเทเวลากว่าสิบปีเพื่อการศึกษา พัฒนาองค์ความรู้สาขาวิชาวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (Peace Journalism) รวมทั้งมีประสบการณ์ด้านการรายงานข่าวเพื่อสันติภาพทางสื่อมวลชนอย่างเชี่ยวชาญ
รศ.ดร.Jacke Lynch กล่าวถึงศักยภาพของสื่อที่จะสร้างสมรรถภาพในการสร้างสันติภาพ โดยเฉพาะการวารสารเพื่อสันติภาพว่า วารสารศาสตร์สันติภาพเป็นนโยบายการสื่อสารระดับนานาชาติ ซึ่งแนวคิดนี้เริ่มต้นจากโยฮัน กัลตุง และเกาเตอร์ และลูก้า ที่พยายามเพิ่มเนื้อหาการนำเสนอข่าวเพื่อสันติภาพ โดยพยายามยกกรณีศึกษาการนำเสนอข่าวตามสถานการณ์จริง โดยพบว่า แม้นักข่าวมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมีมากกว่าสิ่งที่รายงาน ดังนั้นนักข่าวจึงเสมือนผู้กำหนดข่าวสารว่าจะนำเสนออะไร และจากการศึกษาพบว่า สื่อระดับชาติมักรายงานข่าวความขัดแย้งทั่วโลก และมักนำเสนอข้อมูลที่มองว่าผู้รับสารชื่นชอบ
รศ.ดร.Jacke Lynch ได้ยกตัวอย่างการสัมภาษณ์ทหารอเมริกันที่อิรักโดยนักข่าวที่ไปฝังตัวในสนามรบว่า ผู้สื่อข่าวทั่วไปเน้นความถี่หรือจำนวนในเหตุการณ์เท่านั้น แต่หากจะนำเสนอข่าวเพื่อสันติภาพก็จำเป็นต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องนำเสนอข่าวนั้นทันที แต่ควรวิเคราะห์หรือค้นหาสาเหตุ หรือผลประโยชน์บางอย่าง หากนำเสนอได้จึงจะถือว่าเป็นการรายงานข่าวที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อย
“ข่าวร้ายมักถูกนำเสนอมากกว่าข่าวดี นักข่าวมักหาข่าวในพื้นที่เกิดเหตุร้าย สิ่งที่น่าสนใจคือในพื้นที่นั้นมีกลุ่มคนที่พยายามปรับตัวหรือแก้ปัญหาอยู่ด้วย แต่นักข่าวมักจะไม่เห็นหรือไม่สนใจ ดังนั้นโยฮัน กัลตุงจึงได้คิดค้นการนำเสนอข่าวเพื่อสันติภาพ โดยก่อตั้งศูนย์เพื่อศึกษาพร้อมสร้างหลักสูตรวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ โดยมีเป้าหมายให้เกิดการนำเสนอข่าวระดับชาติเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งยอมรับว่าการที่จะให้ผู้ข่าวยอมรับแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โยฮัน กัลตุงจึงได้คิดค้นการนำเสนอข่าวเพื่อสันติภาพ โดยก่อตั้งศูนย์เพื่อศึกษาพร้อมสร้างหลักสูตรวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ โดยมีเป้าหมายให้เกิดการนำเสนอข่าวระดับชาติเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งยอมรับว่าการที่จะให้ผู้ข่าวยอมรับแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ที่ผ่านมาได้เชิญบรรดานักข่าวมาพูดคุยและเปลี่ยนแนวคิดวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ พบว่าส่วนใหญ่มองว่า การนำเสนอข่าวในรูปแบบใหม่นี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก สาเหตุหลักที่ต้องมีการอบรมหลักสูตรนี้ เนื่องจากวารสารศาสตร์มีอิทธิพลต่อสังคมอย่างยิ่ง จึงจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างการนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์”
การนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์ รศ.ดร.Jacke Lynch กล่าวว่า เป็นการนำประเด็นต่างๆ หรือกระบวนการต่างๆ มานำเสนอ เพื่อสะท้อนพลังของประชาชนในการรับมือหรือตอบโต้กับปัญหาที่เกิดขึ้น หรือความพยายามสร้างสันติภาพ ข้อจำกัดใหญ่ของสื่อมวลชนคือ มักต้องนำเสนอตามวาระขององค์กรข่าวของตัวเอง ส่วนวารสารศาสตร์ในภาวะสงครามมุ่งเน้นการนำเสนอที่ต่างกับความขัดแย้งทั่วไป แต่นักข่าวส่วนใหญ่มักไม่อยากพูดเรื่องสันติภาพ เพราะเกรงว่าผู้รับสารอาจไม่อยากรับฟัง หรือกลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าพูดเกินเจ้าของหนังสือพิมพ์หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่จริงผู้สื่อข่าวต้องนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมากที่สุด การผลิตข่าวต่างๆ จึงต้องพิจารณาว่า เมื่อนำเสนอแล้วจะส่งผลให้เกิดความกระจ่างต่อสถานการณ์ยิ่งขึ้น หรือทำให้สถานการณ์ถูกปิดบังลง หรือสร้างความมืดมนให้กับสังคม
เขาได้ยกตัวอย่างที่นักข่าวตะวันตกส่วนใหญ่ต่างตัดสินว่า การฆ่าพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ประธานาธิบดีแห่งลิเบียเป็นชัยชนะของนาโต้ จึงไม่จำเป็นต้องรายงานข่าวนี้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็มีนักข่าวอื่นๆ ที่ยังติดตามปัญหาการกดขี่จากการใช้กำลังในการโค่นล้มอำนาจของกัดดาฟี ซึ่งอาจจะก่อปัญหาอื่นๆตามมาก็เป็นได้
“หากนำเสนอข่าวเพียงแค่กัดดาฟีเสียชีวิตแล้วจบก็ไม่ได้เรียนรู้การนำไปสู่การแก้ไขความขัดแย้งหรือการเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งภายในประเทศลิเบีย หนังสือพิมพ์ News weekly เคยพาดหัวข่าวว่า “ใครจะเป็นผู้ชนะระหว่างบุชกับซัดดัม” ซึ่งการพาดหัวเช่นนี้เป็นการแบ่งเป็นฝ่ายผู้แพ้กับผู้ชนะ เวลาจะเป็นตัวตัดสิน แต่การนำเสนอลักษณะนี้อาจนำไปสู่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความขัดแย้ง หากเราแบ่งว่ามีแต่แพ้กับชนะ ผู้แพ้ก็ต้องหาเหตุผลว่าทำไมต้องเพิ่มกำลังอาวุธ ต้องหายุทธศาสตร์อย่างไร ส่วนผู้สื่อข่าวก็พยายามนำเสนอข่าวท่าทีหรือเร่งรัดให้เกิดการแพ้หรือชนะ กระบวนการเหล่านี้ถือว่าผู้สื่อข่าวเป็นบุคคลสำคัญที่สร้างให้ความรุนแรงยิ่งทวีมากขึ้น”
รศ.ดร.Jacke Lynch กล่าวว่า วารสารศาสตร์สันติภาพคือ การปฏิรูปการนำเสนอข่าวทั่วโลก หากนักข่าวมีอคติในเรื่องใดก็อาจทำให้ไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นั้นได้ แต่หากมีการตั้งคำถามหรือนำเสนอข้อมูลที่ดีก็อาจนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ได้ เช่น เนชั่นนำข้อคิดเห็นหรือข้อวิเคราะห์มาลงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ก็อาจส่งอิทธิพลต่อผู้นำประเทศได้ ดังนั้นวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพจึงเป็นนโยบายหนึ่งที่พยายามปฏิรูปการนำเสนอข่าวของสื่อทั่วโลก ที่ผ่านมามีนักวิจัยจากเอเชีย 2 คน คือจากสิงค์โปรและฟิลิปปินส์ได้นำทฤษฎีวารสารศาสตร์สันติภาพนำไปสู่การปฏิบัติโดยไม่นึกถึงผลประโยชน์ และงานศึกษาเหล่านี้ก็ได้จัดตีพิมพ์ โดยมีคำถามที่น่าสนใจว่า วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพมีจริงหรือเปล่า ซึ่งพบว่า การนำเสนอข่าวเหล่านี้เกิดขึ้นจริง เป็นหนังสือพิมพ์ Incuary ของประเทศฟิลิปปินส์ คำถามที่สองคือ หากมีการนำเสนอข่าวเพื่อสันติภาพมากขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งพบว่า การนำเสนอข่าวเพื่อสันติภาพนั้นจะกระตุ้นให้ผู้อ่านไม่สนับสนุนความรุนแรงและหนุนเสริมสันติภาพมากขึ้น คำถามที่สามคือ นักข่าวจะได้รับการสนับสนุนในการทำวารสารศาสตร์สันติภาพในแต่ละวันได้หรือไม่
เขายกตัวอย่างภาพของการอบรมหลักสูตรวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพในที่ต่างๆ อย่าง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเลบานอน ซึ่งมีการจัดตั้งสมาคมวารสารศาสตร์เพื่อสื่อมวลชน การยกพื้นที่การอบรมที่ต่างๆ ไม่ได้มุ่งเน้นจำนวนหรือปริมาณ แต่มุ่งศึกษาผลลัพธ์ของวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพมากกว่าว่าเกิดประโยชน์ต่อสังคมนั้นอย่างไรบ้าง เช่น การก่อตัวของความขัดแย้ง การเปิดโปงข้อเท็จจริง การพัฒนาวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ ด้านวารสารศาสตร์ที่เป็นข่าวในทีวี มีการปรับปรุงรายละเอียดของข่าวให้มีมาตรฐานระดับโลก มีการเปรียบเทียบระหว่างวารสารศาสตร์ด้านสงครามและวารสารศาสตร์ด้านสันติภาพเพื่อให้เห็นความแตกต่าง
ดร.Jacke Lynch อธิบายเพิ่มว่า วารสารศาสตร์สงครามนั้นมักจะสร้างความโกรธ และความรู้สึกหมดหวัง มีการต่อสู้ช่วงชิง ในขณะที่วารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพจะนำเสนอระบบโครงสร้างที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม พร้อมสะท้อนภาพใหญ่ในสังคม และนำเสนอคุณค่าของทุกคนในสังคม ตัวอย่างจากคนชายขอบในเม็กซิโก ปัญหาเรื่องการค้ายาเสพติด การแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ายาเสพติดในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น แทนการให้ตำรวจใช้อาวุธเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยความ
“เราต้องการเปลี่ยนแปลงจุดสนใจของผู้คน ซึ่งเป็นผลมาจากวารสารศาสตร์สันติภาพ ต้องขยายขอบเขตของเรื่องราว เพื่อให้เกิดการรับรู้และยอมรับกันและกันมากขึ้น”
ดร.Jacke Lynch กล่าวว่า สื่อท้องถิ่นเช่น มินดานิวส์ ในประเทศฟิลิปปินส์ประสบความสำเร็จอย่างมากกับการมีนักข่าวจำนวนมาก ซึ่งสำนักข่าวหลักส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหลวงจึงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อเท็จจริงในพื้นที่ จึงมีการจัดตั้งสื่อมวลชลท้องถิ่นเพื่อส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องให้สื่อมวลชนกระแสหลัก รวมทั้งการนำคนที่เป็นคนชายขอบเข้ามาพูดคุยและค้นหาสิ่งที่อยากสื่อสาร เพื่อสะท้อนเสียงออกมาสู่สังคมใหญ่
วานีซา แบสเซิล สุภาพสตรีที่เริ่มต้นทำงานด้านวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพในประเทศเลบานอน เธอเริ่มต้นเขียนบทความให้กับ UNDP และเขียนข่าวให้สำนักข่าวในเลบานอนตามแนวทางวารสารศาสตร์สันติภาพ วารสารศาสตร์สันติภาพเป็นส่วนหนึ่งของสื่อกระแสหลัก และสื่อท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของสังคม
นอกจากนี้ ดร.Jacke Lynch กล่าวถึงความท้าทายและโอกาสการสื่อสารเพื่อสันติภาพโดยยกตัวอย่างจาก wiki leak ที่มีทั้งการแจ้งเหตุและเตือนภัยให้คนรับทราบ โดยไม่จำเป็นว่าตนเองเป็นใคร ในกรณีการโจมตีของอิสราเอลในชนวนกาซ่า เกิดการเรียกร้องให้หยุดยิงในชนวนกาซ่า wiki leak สามารถเผยแพร่ข้อมูลในแง่เพื่อให้เกิดการหยุดยิง เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจต้องล่มสลาย เป็นหนึ่งในความสำเร็จ แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยทำให้สื่อมวลชนสามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้ การสร้างพันธมิตรด้านสื่อมวลชนในการเผยแพร่ข้อมูล การสร้างความเป็นหุ้นส่วนเผยแพร่ข้อมูล เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสแก่นักข่าวในการใช้การสื่อสารเพื่อสร้างสันติภาพ หลายแห่งมีการพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการ การพูดคุยระหว่างรัฐไทยกับขบวนการเคลื่อนไหวปาตานี อาจเป็นจุดกึ่งกลางที่จะนำเสนอข้อเท็จจริง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความต้องการแบ่งแยกดินแดน คือจุดกึ่งกลางของการพูดคุย นักสื่อสารเพื่อสันติภาพจึงควรแจ้งเตือนสาเหตุของความขัดแย้งให้ประชาชนได้รับทราบอย่างถ่องแท้และหลีกเลี่ยงการโฆษณาชวนเชื่อ
ท้ายสุดของการปาฐกถา ดร.Jacke Lynch กล่าวฝากถึงการปฏิรูปวารสารศาสตร์ของไทยว่า ขอบเขตในการปฏิรูปความขัดแย้งนั้นต้องเกื้อหนุนมุมมองในเรื่องคุณค่าที่จะอยู่ในข่าว ยอมรับว่าทุกความต้องการของชุมชนอาจไม่ถูกตอบรับทั้งหมด นักข่าวจำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหว รวบรวมทรัพยากร ต้องมีมุมมองด้านสันติภาพและเนื้อหาของวาระของข่าวเป็นสิ่งสำคัญ ต้องสร้างความเป็นพันธมิตรกับภาคประชาสังคมและนักวิชาการ การตั้ง conflict new press เพื่อนำเสนอใจกลางของความขัดแย้ง ต้องนำเสนอประเด็นอำนาจของการจัดการความขัดแย้งมากกว่าเสนอประเด็นแบ่งแยกดินแดน เสนอจุดยืนของการประนีประนอม ปรองดอง ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ยาก จึงจำเป็นต้องมีการกระจายความรู้เรื่องวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ โดยการเผยแพร่ความรู้ด้านสันติภาพ ปฏิรูปวารสารศาสตร์ เรื่องการปฏิบัติและเนื้อหา เพื่อเป็นไปในแนวทางสร้างสันติภาพ”