หน้าแรก รายงาน

ลึกสุดใจ! 3ครอบครัว “ผู้สูญเสีย” หลังบอมบ์ใหญ่เมืองปัตตานี

หลังเหตุร้ายในช่วงค่ำของวันที่ 24 พ.ค.2557 ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินในตัว อ.เมือง จ.ปัตตานี อย่างมากมาย ซึ่งมีทั้งพี่น้องพุทธและมุสลิมที่ประสบชะตากรรมนี้ร่วมกัน เครือข่ายผู้หญิงเพื่อประชาสังคมชายแดนใต้ได้ไปเยี่ยมปลอบขวัญและให้กำลังใจแก่ครอบครัวที่ประสบชะตากรรมเหล่านั้นเพื่อเยียวยาจิตใจแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เหตุครั้งนี้ มีเด็กน้อยที่ถูกสะเก็ดระเบิดหน้าร้าน 7-11 สาขาถนนนาเกลือ ทำให้เธอต้องสูญเสียขาขวาไปในวัยเพียง 5 ขวบ คือ ด.ญ.แวซิตีอัยจะ แวหลง และเด็กน้อยต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงโรงพยาบาลอีกนานนับเดือน

แม่ของเธอ นะดา สาวิชัย ซึ่งดูแลลูกสาวอยู่ตลอดเวลา ณ ห้องพิเศษ ตึกชูเกียรติ ปิติเจริญกิจ บอกว่า ลูกสาวกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวและปรับอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเธอ รอบเตียงของแวซิตีอัยมีตุ๊กตาและของเล่นที่มีคนนำไปฝากเพื่อให้เธอได้ผ่อนคลายและสบายใจลืมเรื่องราวที่เจ็บปวด หากเมื่อใครไปแตะหรือจับขา เธอก็จะส่งเสียงร้องเพราะเจ็บแผล

“ลูกยังเล็กอยู่ ยังปรับตัวปรับใจได้ไม่มาก ยังนอนสะดุ้ง ผวา เจ็บขาข้างที่ไม่ถูกตัดเพราะโดนสะเก็ดระเบิดเช่นกัน ตรงกลางหน้าแข้งเนื้อหลุดไปหมด หนังตรงเท้าก็ไม่มี ต้องรอเนื้อกำพร้าขึ้นถึงจะเอามาแทนได้ ต้องดามเหล็กไว้และทำแผลทุกวัน ส่วนขาที่ถูกตัดก็เข้าเฝือกถึงโคนขา เขายกขา ขยับเองได้ ต้องยกบ่อยๆ เพราะหมอเอากระดูกออกไปหมด ระวังเรื่องติดเชื้อ หมอบอว่าต้องอยู่โรงพยาบาลอีกเป็นเดือน”

ครอบครัวของนะดาเช่าบ้านอยู่ทื่ ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองปัตตานีและใกล้กับบ้านเดิมของสามีที่เป็น อส.และเป็นคนหารายได้เข้าบ้านพียงคนเดียว ส่วนเธอเป็นแม่บ้านดูแลลูกสามคน เหตุการณ์นี้ทำให้เธอได้รับกำลังใจและความเช่วยเหลือจากหลายหน่วยงานและหลายๆ คน รวมทั้ง นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล อดีต สว.ปัตตานี ที่ช่วยอนุเคราะห์ค่าห้องพิเศษให้ครอบครัวของเธอตลอดการรักษา ซึ่งเป็นน้ำใจที่ครอบครัวเธอซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

“ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน คืนเกิดเหตุเขามาปลอบใจและบอกจะช่วยเหลือ เขาจัดการให้มาอยู่ห้องพิเศษและส่งอาหารเย็นจากโรงแรมมาให้ทุกวัน มีอีกหลายหน่วยงานและหลายกลุ่มมาเยี่ยม มอบของและให้กำลังใจเป็นสิ่งที่ขอขอบคุณมากๆ ทำให้ครอบครัวเรามีกำลังใจมากขึ้น”

ส่วนเงินเยียวยาที่ได้รับ นะดาบอกว่าจะใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็นและเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาของลูก สำหรับสิ่งที่ต้องทำในอนาคตอันใกล้คือ การให้ลูกสาวคุ้นชินกับการใช้ขาเทียมให้เร็วที่สุดเพื่อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และอยากให้ผู้รับผิดชอบเหตุการณ์นี้ช่วยดูแลในเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างของลูกสาวเธอด้วย

“เมื่อกลับบ้านต้องให้เขาชินกับการใช้ขาเทียมให้เร็วที่สุด ให้เขารู้ว่าใส่แล้วสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติ ให้มีเวลาปรับตัวโดยเราต้องเป็นมือเป็นเท้าให้เขาไปก่อน ถ้าแม่อ่อนแอลูกจะยิ่งแย่กว่านี้ ต้องเข้มแข็งมากๆ คืนนั้นถ้าลูกคนเล็กยังไม่หลับก็จะพาเขาไปด้วย ไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากต้องสูญเสียลูกคนเล็กไปอีกคน”

เหตุร้ายในครั้งนี้ยังได้คร่าชีวิตเด็กชายคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยคือ ด.ช.มูฮำหมัดอิลฟาน สิเดะ วัย 5 ขวบ จากเหตุเสาไฟฟ้าแรงสูงที่ถูกแรงระเบิดล้มทับขณะที่กำลังซ้อนท้ายแม่อยู่บนถนนและมุ่งหน้ากลับบ้าน ซึ่งในเหตุการณ์นี้พ่อของมูฮำหมัดอิลฟาน ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยและยังคงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.รพ.ปัตตานี จนถึงทุกวันนี้

ณ ชุมชนบือตงตันหยง ถนนปากน้ำ ซอย 2 เป็นบ้านเดิมของ รอฮีหม๊ะ สิเดะ แม่ของมูฮำหมัดอิลฟาน เธอและลูกอีกสามคนมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่คืนเกิดเหตุเพราะสะดวกในการไปดูแลและให้กำลังใจสามีที่โรงพยาบาล โดยที่ยังไม่ได้บอกเรื่องลูกชายเสียชีวิตแก่สามี เธอบอกว่า ยังไม่กล้าบอกทั้งที่สามีก็ถามถึงลูก ได้แต่เลี่ยงไป โดยหมอจิตเวชบอกว่าจะบอกเรื่องนี้กับสามีเธอเอง

“ตอนนี้อาการเขาดีขึ้น รู้สึกตัวแล้ว ต้องผ่าตัดและเจาะเพราะเลือดตกใน แต่ยังต้องนอนพักดูอาการในห้องไอ.ซี.ยู.เพื่อไม่ให้ติดเชื้อ คืนเกิดเหตุไปรับลูกจากเรียนอัลกุรอ่านเพื่อจะกลับบ้านที่ดอนรัก ขี่มอเตอร์ไซค์กันไปสองคนกับพ่อเขาโดยลูกซ้อนท้าย ถึงที่เกิดเหตุไฟดับหมด เสาไฟล้มแต่ไม่เห็นว่าเป็นอะไรชัด ได้ยินเสียงคนมาช่วย ตอนนั้นไม่รู้ว่าอาแบอยู่ไหน คลานหาลูกไปแตะตัวเขาเห็นว่าไม่รูสึกตัว ได้อ่านยาซีนและกล่าวปฏิญาณให้เขาแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้สึกตัว มารู้อีกทีตอนอยู่ที่โรงพยาบาล และรู้ว่าลูกชายสุดท้องเสียชีวิต ลูกชายอีกคนมือซ้ายกระดูกร้าว”

สามีของรอฮีหม๊ะมีอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างและเช่ารถยนต์ไปรับ-ส่งคนงาน ส่วนเธอเป็นแม่บ้านดูแลลูก 4 คน เมื่อมาประสบเหตุนี้ทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้ เงินเยียวยาที่ได้รับมาจำนวนหนึ่งก็คงพอใช้ไปสักระยะหนึ่ง หากเธออยากมีอาชีพที่มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ตลอด และแม้ว่าสามีจะออกจากโรงพยาบาลก็คงยังทำงานไม่ได้และทำได้ไม่เท่าเดิม เธอจึงต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นกำลังใจให้สามีและลูกโดยนำหลักศาสนามาใช้

“เรารักสามีและลูกแต่อัลลอฮฺรักมากกว่า เมื่อถึงเวลาก็ต้องไป เป็นสิ่งที่อัลลอฮฺวางไว้แล้ว เพียงแต่เหตุการณ์นี้มีเด็กเสียชีวิต พิการและบาดเจ็บมากกว่าสาเหตุอื่นๆ”

ส่วนครอบครัว “ลาเฮศักดิ์สิทธิ์” เป็นอีกครอบครัวที่ประสบชะตากรรมแห่งความสูญเสียเช่นเดียวกันเมื่อเสาหลักของครอบครัวคือ นางสมพร ลาเฮศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นแม่ของสามพี่น้อง อลิฟ อามีน และ โรสมาลิน ถูกแรงระเบิดจากร้าน 7-11 สาขาถนนเจริญประดิษฐ์จนเสียชีวิต

ก่อนหน้านี้ไม่นานครอบครัวนี้เพิ่งสูญเสียพ่อไป สมพรจึงต้องดูแลลูกทั้งสามมาเพียงคนเดียว โดยอลิฟเรียนจบชั้นปวส.และมารับช่วงกิจการของบ้านต่อคือ ซ่อมและขายอะไหล่รถ อามีนน้องชายคนรอง กำลังเรียนชั้นปี 4 ม.วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตรัง และโรสมาลิน น้องสาวสุดท้อง เรียนชั้น ปวส.1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานี

โรสมาลินซึ่งเปิดร้านขายกิ๊ฟชอปที่ถนนเจริญประดิษฐ์ สายม.อ.ปัตตานี ใกล้กับร้าน 7-11 ที่เกิดเหตุเล่าว่า
“ช่วงที่ไฟดับตอนทุ่มกว่า แม่โทรศัพท์มาบอกให้ปิดร้านและแม่ขี่มอเตอร์ไซค์มาหาที่ร้านโดยมีพี่ชายสองคนขี่ตามหลังกันมา เมื่อผ่านร้าน 7-11 แม่ก็โดนสะเก็ดระเบิด ร่างของแม่กระเด็นไปกลางถนน พี่ชายที่ขี่ตามมาก็เห็นเหตุการณ์ เราเห็นแม่ในสภาพนั้นทั้งสามคน รู้ว่าเขาไม่ได้จงใจทำร้ายแม่แต่ต้องมาเจอกับเหตุร้าย”

อาของสามพี่น้องที่มาช่วยดูแลและจัดการหลายเรื่องบอกว่า สมพรเป็นมุอัลลัฟ ชาวมุกดาหาร รับอิสลามมากว่ายี่สิบปี เป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่น เมื่อต้องเสียสามีไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วทำให้เธอต้องรับผิดชอบทุกอย่าง กิจการที่สามีทำอยู่มีอลิฟลูกชายคนโตมารับช่วงต่อ หากความด้อยประสบการณ์และความไว้วางใจจากลูกค้าทำให้ลูกค้าเริ่มหายไป ส่วนโรสมาลินเรียนตอนกลางวันและจ้างลูกจ้างเฝ้าร้านขายกิ๊ฟชอป เมื่อเลิกเรียนก็มาดูร้านต่อ และไม่มีรายได้ทางอื่น จึงเป็นห่วงอนาคตของหลานทั้งสองที่ยังเรียนไม่จบ

“พอพ่อเขาไม่อยู่ ครอบครัวก็แย่ แม่ก็มาเสียอีกคนด้วยเหตุแบบนี้ หลานๆ ก็ไม่มีที่พึ่งหลัก อาๆ ญาติๆ ก็พอช่วยได้ในระดับหนึ่ง ทั้งสามคนต้องดูแลกันเอง เป็นห่วงในเรื่องการเรียนของหลานคนรองและสุดท้อง อยากให้เขาได้เรียนจนจบและมีงานการทำ”

ครอบครัวลาเฮศักดิ์สิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาจากทางจังหวัดและหน่วยงานอื่นมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้นำไปจัดการจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ของครบครัวได้เบาบางไปจำนวนหนึ่ง ทุกคนบอกว่า การได้รับเงินเยียวยาก้อนนี้ทำให้แบ่งเบาภาระหนี้สินไปได้มากทีเดียว และขอบคุณทุกหน่วยงานทุกคนที่ช่วยเหลือในทุก ๆ ด้าน ทำให้พวกเขามีกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป

“ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจและการช่วยเหลือ จะตั้งใจเรียนให้จบและกลับมาทำงานที่บ้านเกิด” เป็นคำขอบคุณจากอามีนและโรสมาลิน ฝากไว้แก่ทุกน้ำใจที่มอบให้ครอบครัวพวกเขา

การเยี่ยมเยียนช่วยเยียวยาแม้จะมองไม่เห็นเป็นรูปธรรมเฉกเช่นการช่วยเหลือที่เป็นตัวเงิน หากได้ช่วยบรรเทาเบาบางให้จิตใจของผู้สูญเสียได้แช่มชื่นว่ายังมีน้ำใจในสังคมที่พร้อมช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นน้ำใจที่ยังหาได้ในแผ่นดินนี้ …ปลายด้ามขวานชายแดนใต้