“เหตุผลที่เลือกในจุดยืนนี้ด้วยจิตวิญญาณที่เราทำได้กว้างในทุกเรื่องทุกปัญหา ไม่จำกัดตัวเอง การพูดทางวิทยุทุกวันสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้”
ปุย หรือ ดีเจปุย พัชรา ยิ่งดำนุ่น นักจัดรายการวิทยุ สถานีวิทยุกระจายเสียง ม.อ.ปัตตานี FM 107.25 MHz สื่อมวลชนคนสำคัญของ จ.ปัตตานี บอกกล่าวถึงการตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิตในอาชีพที่รัก ที่แม้จะไม่ได้เรียนจบมาทางสื่อสารมวลชนแต่เธอสามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี
“เป็นคน อ.เมือง จ.สงขลา จบปริญญาตรีด้านภาษาอังกฤษจากม.อ.ปัตตานี ไปฝึกงานกับสถานีวิทยุ ม.อ.ปัตตานีตั้งแต่เรียนจนจบมาเป็นผู้สื่อข่าวก็ทำงานที่นี่ที่เดียวมาตลอด ไม่รู้สึกอยากเป็นครูเพราะไม่มั่นใจว่าจะสอนเด็กได้ดี การเป็นครูต้องมีความชัดเจน ยิ่งสอนภาษาอังกฤษต้องแน่นแกรมม่า แต่เป็นคนเรียนปานกลาง ทำกิจกรรมเยอะ ซึ่งขอบคุณประสบการณ์นั้นที่ช่วยในเรื่องการเข้าหาคน เข้าใจความหลากหลาย เปิดกว้างทางใจและความคิด มีความสุขกับการมาเรียนและใช้ชีวิตอยู่ในปัตตานีมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
ปุยมาเจอหนทางชีวิตที่ต้องเลือกเมื่อเธอสอบบรรจุเป็นครูได้ที่อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งตอนนั้นเธอกำลังเรียนปริญญาโทด้านภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและทำงานข่าวควบคู่กัน
“รู้สึกว่าตัวเองเดินมาถูกทางในสายงานข่าวจึงสละสิทธิ์ที่สอบครูไป ซึ่งถ้ามองในความมั่นคงของหน้าที่การงาน เงินเดือนแล้วคือคนละเรื่องกับงานข่าวที่ทำ ตอนตัดสินใจก็มานั่งที่รูปปั้นพระบิดาว่าจะทำอย่างไร ได้ยินเสียงท่านบอกว่า “จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ อยู่ที่เราจะทำอะไร เราทำได้ทุกที่ ใช้ชีวิตทำในสิ่งที่รัก มีคุณค่าใช้ศักยภาพที่มีให้คุ้ม” จึงตัดสินใจเดินทางสายนี้มาตลอด เรียนรู้จากประสบการณ์ จากมืออาชีพ งานสัมมนาที่สามารถนำมาใช้ในเรื่องงานและชีวิตได้เป็นอย่างดี การทำงานในพื้นที่นี้ได้เรียนรู้ตลอดเวลา การลงพื้นที่ คุยกับแหล่งข่าว ทำให้รู้ว่าปัญหาในพื้นที่คือการสื่อสารที่เข้าใจไม่ตรงกัน ชาวบ้านก็พูดอีกด้าน รัฐและเจ้าหน้าที่ก็พูดอีกด้าน การจะได้ใจกันและกันต้องใช้ความจริงใจและเวลา เจ้าหน้าที่อยู่ในพื้นที่ไม่นานก็เปลี่ยนไปตามวาระ แต่ชาวบ้านยังทำมาหากินและชีวิตอยู่ตลอด เผชิญปัญหาสารพัด จึงต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและนำมาปฏิบัติจริงจัง เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี”
ในความเป็น “คนใน” ที่เรียนและทำงานในม.อ.ปัตตานีมานาน ปุยบอกว่า เมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่สงบทำให้เยาวชนในพื้นที่มีโอกาสเข้ามาเรียนมากขึ้น เธอเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะไปสร้างความสงบร่มเย็นในพื้นที่ที่ดังปณิธานของพระบิดา
ปุยเชื่อว่า กระบวนการสันติภาพต้องมีความหวัง เชื่อมั่น ศรัทธาและใช้เวลา ยิ่งสื่อมวลชนยิ่งต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน
“เราต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน สื่อสันติภาพไม่ใช่แค่คำพูด คนเป็นสื่อต้องเปิดกว้าง เปิดใจกับทุกอย่าง ความคิด คำพูดและการกระทำต้องไปด้วยกัน ไม่มีอคติและไปตัดสินอะไรไปก่อน มองด้วยสำนึกของความเป็นพี่น้องที่มีจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์เหนือความขัดแย้ง เชื่อมทุกอย่างได้ด้วยเอกภาพ เป็นทางออกที่จะคลี่คลายและยุติเหตุการณ์ความรุนแรงได้ เมื่อสื่อกับคนข้างในแล้วก็ออกไปสื่อกับคนข้างนอกพื้นที่และคนต่างศาสนิกให้มองพื้นที่นี้อย่างเข้าใจด้วย”
เธอบอกอีกว่า อยากเป็นนักเรียนตลอดเวลา เพราะได้ตื่นตัวตื่นรู้ใหม่ๆ ในชีวิต และพร้อมเป็นครูถ่ายทอดให้คนอื่นได้ หาความรู้ใหม่ๆ พัฒนาตัวเองให้มีความมั่นใจและมีพลัง สิ่งใดที่ไม่ชัดเจนต้องถามให้เคลียร์ ถ้าทำแล้วพลาดจะรู้สึกผิด ยิ่งเป็นสื่อยิ่งต้องเคารพและปกป้องแหล่งข่าวทุกระดับ เมื่อเขาเลือกที่จะบอกข้อมูลกับเรา ต้องเห็นคุณค่าของข้อมูล เช็คข้อมูล ต้องมีความสมดุลย์ในงานข่าว ประมวลและแยกแยะได้ ซึ่งการสื่อข่าวสันติภาพบางครั้งอาจลืมข้ามความเป็นมนุษย์ จึงต้องมีขั้นตอนในการพูดคุย
ปุยบอกว่าเสน่ห์ของงานวิทยุคือเสียง และการได้เรียนรู้จากอาจารย์หลายท่านที่เธอได้ช่วยทำวิจัยและจับเรื่องวิทยุ ชุมชนมาตั้งแต่ต้น เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น มีการตื่นรู้ของชาวบ้านและเป็นการสื่อสารที่ลงลึกถึงทุกชุมชน ซึ่งวิทยุ ม.อ.ปัตตานี มีรูปแบบรายการที่หลากหลายเกาะติดสถานการณ์บนพื้นที่ในมิติ 3 วัฒนธรรม ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
ตั้งแต่เรียนปริญญาตรีจนถึงการทำงานและชีวิตในปัจจุบันเป็นเวลาถึง 18 ปีที่ปุยใช้ชีวิตอยู่ในปัตตานีและยังตั้งใจอยู่ต่อไป
“การที่เราอยู่ที่ไหนเหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว มองว่าคุณค่าเราคืออะไร ทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้ จึงทำทุกวันนี้ให้เต็มที่และดีที่สุด”
ฝันอีกอย่างที่ปุยอยากให้เป็นจริงของเธอคือ อยากเขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์ของตัวเอง
“ถ้าได้เห็นเรื่องราวของตัวเองบนชั้นหนังสือ วันนั้นคงเป็นวันที่มีความสุขที่สุดอีกวันหนึ่ง”