หน้าแรก รายงาน

“นกน้อย แซ่หลี” ชีวิตไม่ยอมแพ้ วันนี้ยังอยู่ได้เพราะ “ลูก”

เพิ่งร้านส้มตำเล็กๆ “ส้มตำต้นซัมฉา” ในตัวเมืองปัตตานี คือที่ทำมาหากินของผู้หญิงวัยสี่สิบคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าจะขาดหายดวงใจไปแล้วหนึ่งดวงเมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา

นกน้อย(น้อย) แซ่หลี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มาลงหลักปักฐานในชายแดนใต้กว่ายี่สิบปีกับสามีชาว อ.ยะหา จ.ยะลา จนเมื่อเลิกรากับสามี เธอได้พาลูกชายทั้งสองคนมาอยู่ในตัวเมืองปัตตานีพร้อมกับทำงานหาเลี้ยงตัวเองและลูกอย่างมีความสุข จนเหตุร้ายมาเยือนชีวิตเธอและลูกชายคนเล็กในค่ำคืนหนึ่ง

“คืนนั้นยังจำได้ไม่ลืม วันที่ 21 มกราคม 2556 ต้นปี ประมาณสองทุ่มขี่มอเตอร์ไซค์กันไปสามคนจะไปทำธุระที่ อ.หนองจิก จากในเมืองไปกว่าสิบกิโล ฉันขี่ ลูกชายคนเล็ก น้องฟิวส์ (นวพล เมือง) นั่งตรงกลาง พ่อเลี้ยงเขานั่งหลังสุด ก่อนถึงศูนย์รถฮอนด้า ตรงข้ามเป็นที่เปลี่ยว ดงมะพร้าว ได้ยินเสียงแป๊กๆ คิดว่าเขาจุดประทัด แฟนบอกว่าลูกถูกยิง หันไปดูเห็นเลือดที่หน้าลูกก็พยายามตั้งสติขี่ไปข้างหน้า ตอนนั้นแฟนโดนยิงด้วยเข้าที่ไหล่ขวา แล้วมีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาสองคนขี่ตัดหน้ามายิงอีก 4 นัดแต่ไม่โดน พยายามขี่ไปให้ถึงโรงพยาบาลหนองจิกให้เร็วที่สุด ขี่ไปร้องไป ขาลูกเริ่มตก แฟนก็ไม่รู้สึกตัว ได้แต่ถามว่าลูกยังอยู่อีกมั้ย ถึงโรงพยาบาลแฟนยกลูกขึ้นเตียง กระสุนหล่นลง ลูกถูกยิงเข้าที่ขมับสองนัด เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียเลือดเยอะ อยู่ได้สัก 20 นาทีเขาก็เสียชีวิต เอาศพไปไว้ที่ยะหาเพราะเขาผูกพันกับบ้านปู่ย่า”

หลังจากจัดงานศพลูกเสร็จ เธอได้รับเงินเยียวยาจำนวน 5 แสนบาทและเงินอื่นๆ รวมประมาณ 5 แสน 3 หมื่นบาท แบ่งให้สามีเก่าพ่อของนวพล ส่วนของตัวเอง ฝากไว้ให้ลูกชายคนโตซึ่งบวชเรียนอยู่ในขณะนี้ และทำบุญ พร้อมกลับมาขายส้มตำเลี้ยงตัวเองมาจนทุกวันนี้ หากความคิดถึงห่วงหาลูกชายคนเล็กยังอยู่เสมอ เหมือนยังไม่ได้จากไปไหน
“ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ นอนไม่หลับ พอค่ำก็ไม่กล้าออกจากบ้าน เห็นรูปก็นึกถึง เห็นจักรยานที่ยังเก็บไว้ก็ร้องไห้ เพื่อนบอกให้ปล่อยวาง แต่ก็ยังคิดถึงเขาตลอด ฟิวส์เป็นเด็กนิสัยดี พึ่งพาได้ เวลาไม่สบายก็ดูแลแม่ได้ เพื่อนๆ ชาวบ้านแถวนี้ก็รักเขาทุกคน บ้านย่าก็เหมือนกัน พูดถึงเขาตลอด เกือบครบปีแล้วที่เขาจากไป ทุกคนก็ยังพูดถึง”

เมื่อลูกชายคนเล็กจากไป ลูกชายคนโต วัย 18 ปี ซึ่งบวชเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี คิดจะสึกออกมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนและช่วยทำมาหากิน แต่น้อยห้ามไว้ ให้ลูกชายตั้งใจเรียนให้จบเปรียญ 7 แล้วค่อยวาดอนาคตกันอีกที

“เมื่อก่อนนี้เขาจำวัดใกล้บ้านในอ.เมืองปัตตานี ตอนนี้เขาไปจำวัดวัดในอ.ยะหา เขาบอกให้แม่อดทน อย่าเครียด สวดมนต์ ตักบาตร เขาจะตั้งใจเรียนให้จบประโยค 5 แล้วจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เมื่อจบเปรียญ 7 แล้วจะสึกออกมาหางานทำ และให้ฉันย้ายไปอยู่นครศรีธรรมราชเพราะทางบ้านก็ห่วง อยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง มีแต่เขาคนเดียวเป็นกำลังใจให้สู้ชีวิตต่อ ไม่คิดมีใครหรือครอบครัวใหม่แล้ว ทำมาหากินเลี้ยงตัวคนเดียวก็จะไม่รอด ค้าขายก็ได้ใช้จ่ายไปวันๆ ไม่เหลือเก็บ ลูกค้าก็ไม่เหมือนก่อนทั้งเศรษฐกิจทั้งสถานการณ์ ก่อนนี้ชายแดนใต้อยู่สบายมาก ไปไหนมาไหนสะดวก ทำมาหากินคล่อง ไม่รู้ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำกันทำไม ยิ่งทำกับเด็กแล้วยิ่งเป็นเรื่องเศร้า”

น้อยบอกว่า ได้สมัครเข้าโครงการจ้างงานเร่งด่วน (โครงการ 4,500 ) เกือบปีก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ และทุนในการประกอบอาชีพก็ไม่ได้รับการบอกกล่าว เป็นการรอรับสิทธิ์ที่พึงได้ เธอยังรอความหวังนั้น

“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้รับสิทธิ์นั้นหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็บอกให้รอๆ ขนาดเราอยู่ในเมืองยังเป็นแบบนี้ แล้วคนที่เขาอยู่ต่างอำเภอเขาจะได้รับสิทธิ์ทั่วถึงอย่างไร หรือว่าเจ้าหน้าที่สนใจแต่เคสที่เป็นที่สนใจของสังคม จนลืมว่าเคสของชาวบ้านธรรมดาก็ต้องการความเป็นธรรมที่ทั่วถึงเช่นกัน”

น้อยรำพันความในใจต่อชะตาของชีวิต ชีวิตที่เธอยังมีความหวังและกำลังใจจาก “ลูก”