หน้าแรก รายงาน

“พัชรกัญญ์ ยังปากน้ำ”… เอ็มซี.สาวเก่ง จากชายแดนใต้

หลายงานอีเวนต์ในจ.ปัตตานี ที่ได้เห็นหญิงสาวคนนี้เป็นเอ็มซี (M.C.) หรือพิธีกร ที่พูดจาได้ฉะฉาน ถูกต้อง พร้อมมุขที่เหมาะสมกับงานเสมอ รวมทั้งการแต่งกาย หน้าตาที่เข้ากัน ทำให้หลายคนที่พบเจอจดจำเธอได้ง่าย “พัชรกัญญ์ ยังปากน้ำ” หรือ “จูน” หญิงสาวมากความสามารถแห่งคณะวิทยาการสื่อสาร ม.อ.ปัตตานี

จูนทำงานตั้งแต่เรียนจบเมื่อปี 2551 ในงานประชาสัมพันธ์ของคณะวิทยาการสื่อสาร หรือชื่อทางการว่า นักวิชาการอุดมศึกษา รับผิดชอบงานสื่อสารองค์กรและศิษย์เก่า รวมทั้งงานวิเทศสัมพันธ์ คณะที่เธอเป็นศิษย์เก่าด้านนิเทศศาสตร์ ที่เธอบอกว่า เรียนมาด้วยใจรักและถูกกับตัวเองมากที่สุด

จูนบอกว่า งานพิธีกรของเธอเริ่มมาจากงานในม.อ.ปัตตานี งานหนึ่งที่หาพิธีกรไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเธอน่าจะทำได้จึงเป็นโอกาสเริ่มต้นที่ดีและทำให้ความสามารถในตัวเธอได้เปล่งพลังออกมาอย่างเต็มที่

“เป็นงานรับน้องของมหาวิทยาลัย เป็นโอกาสที่ดี งานใหญ่ คนเยอะ พยายามเต็มที่ และเป็นบันได้ให้เราต่องานมาจากนั้นเรื่อยมา จนทุกวันนี้ที่รับงานเปลี่ยนงานยังตื่นเต้นทุกครั้ง ต้องแก้ปัญหาหน้างาน ควบคุมตัวเองให้มีสติ ขอบคุณประสบการณ์ครั้งแรกในวันนั้นที่ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างราบรื่นและแก้ปัญหาได้ทุกงาน”

งานพิธีกรที่จูนทำได้ดีเป็นงานที่เธอรับพิเศษนอกจากเวลาทำงานประจำและเสาร์อาทิตย์ หรือมีหนังสือขอตัวช่วยงานที่ไม่ขัดกับงานประจำ เป็นเรื่องที่จูนบอกว่าต้องดูเวลา ความเหมาะสมและสถานที่ เมื่อรับงาน ตกลงกัน จะดูรายละเอียดของงาน ทำการบ้านและเต็มที่กับทุกงาน

“ไม่ว่างานจะเล็กหรือใหญ่จะเต็มที่กับทุกงานเสมอ จะสร้างภาพให้สำเร็จไปก่อน ทำการบ้านทุกงาน ดูสถานที่ ซ้อมก่อนงาน ดูทุกรายละเอียดให้พลาดน้อยที่สุด 80-90 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ตัวเรา เตรียมตัวแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหน้างาน และทุกงานที่ผ่านมาสามารถผ่านไปได้ เมื่อเสร็จงานก็จะมาทบทวนดูว่าพลาดอะไรไปบ้าง จะต้องแก้ไขอย่างไร เป็นบทเรียนในครั้งต่อไป”

“ในการทำงานนี้ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง ให้โอกาสกับตัวเองแล้วสิ่งอื่นก็จะตามมา ซึ่งอาจมากกว่าเงินทอง เป็นโอกาสในการแสดงความสามารถให้คนอื่นและสังคมเห็น รวมทั้งการทำงานด้านอื่นด้วย”

ตัวตนของจูน เป็นลูกครึ่งนครศรีธรรมราชและสตูล ที่ได้อยู่กับพ่อแม่น้อยมากเพราะครอบครัวของเธอรับเหมาก่อสร้าง เมื่อมีงานที่ไหนพ่อแม่ก็จะไปอยู่ที่นั่น ทำให้เธอต้องย้ายที่เรียนบ่อยมาแต่เด็ก หากความอบอุ่นของครอบครัวมิได้ห่างหายไปตามระยะทางที่ห่างกัน ตรงกันข้ามพ่อแม่ของเธอจะพยายามหาเวลาและโอกาสมาเติมเต็มให้ลูกสาวคนนี้อยู่เสมอ พร้อมเปิดโอกาสและให้กำลังใจตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

“จูนเกิดที่ชัยภูมิ มาอยู่กรุงเทพฯ สตูล จนถึงป.3 มาอยู่กับญาติแม่ที่นครศรีธรรมราช เรียนจนจบชั้นม.6 สายวิทย์ตามความต้องการของแม่ ตอนนั้นพ่อแม่ทำงานที่ปัตตานี คิดว่าถ้าสอบได้ปัตตานีจะได้อยู่ด้วยกันเสียที ลองหาข้อมูลดูเห็นว่าในม.อ.ปัตตานีมีคณะวิทยาการสื่อสารที่น่าจะตรงกับตัวเอง สอบเอ็นท์ตรงมาก็ได้ พอมาอยู่ปีหนึ่ง พ่อแม่ก็ย้ายไปอยู่นราธิวาสอีก กลายเป็นไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก แต่โชคดีในเรื่องการเรียนที่ไม่ไปเรียนด้านสายวิทย์ ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุขตลอดสี่ปีที่เรียนนิเทศศาสตร์ ยิ่งเรียนยิ่งใช่ เข้าร่วมทุกกิจกรรม จากคนเข้าร่วม เป็นคนจัด ทำเบื้องหลัง เรียนปฏิบัติทุกตัว ร่วมกิจกรรมกับองค์กรอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เรียนได้นำมาใช้ได้ดี”

ถึงจะเป็นนักกิจกรรมตัวยง แต่จูนไม่ได้ละเลยการเรียน กลับทำได้ดีไปพร้อมกันจนสามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับสองมาให้ตัวเองและพ่อแม่ภูมิใจได้ จูนบอกว่าการเรียนเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหลัก สะท้อนถึงการทำงานในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีมาก

ในการทำงานประจำทำให้จูนได้เรียนรู้การปรับตัว ทัศนคติ การร่วมงานกับคนหลายวัยและยังสนุกกับการงานที่ทำให้ต้องตื่นตัวในทุกวัน หากเมื่อถึงเวลาจูนยังอยากเรียนต่อในสาขาทีอยากเรียน หากวันนี้ด้วยหลายอย่างในชีวิตยังไม่ลงตัว ทำให้เรื่องนี้ต้องขยับไปก่อน รอเวลาและโอกาสที่เหมาะสมในไม่ช้านี้

ช่วงเวลาที่จูนเข้ามาใช้ชีวิตในชายแดนใต้เป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นแล้ว โดยส่วนตัวแล้วจูนไม่ได้ประสบเหตุอย่างใดต่อชีวิต เธอให้กำลังใจตัวเองเสมอและไม่ปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้น

“รู้ว่าเรื่องราวในพื้นที่เป็นอย่างไร แต่ทำอย่างไรที่จะใช้ชีวิตปกติให้ได้และมีความสุข ในมหาวิทยาลัยมีนักศึกษามากมาย บุคลากรที่ทำงาน คนที่นี่ใช้ชีวิตปกติ นั่งร้านน้ำชา เที่ยวพักผ่อน ค้าขาย คนที่มองว่าที่นี่น่ากลัวอยากให้มองมุมอื่นบ้างที่มากกว่าความน่ากลัว สิ่งดีๆ ยังมีอีกมากในพื้นที่นี้ เลือกรับข่าวสารในมุมที่ไม่ใช่ความรุนแรง เมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเอง แล้วจะเห็นว่าโลกนี้มีหลายด้าน”

“ชีวิตที่นี่ของจูนเป็นชีวิตคนทำงานปกติที่มีรายได้ มีงานทำ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี เจ้านายที่เป็นกัลยาณมิตร อยากให้คนในพื้นที่ให้ความสำคัญกับคำพูดที่สื่ออกไป อย่าใช้ความวู่วาม คิดก่อนพูด ความทุกข์และความรุนแรงมีอยู่ทุกพื้นที่ทั่วเมืองไทยไม่ใช่ที่นี่ที่เดียว”

จูนบอกว่า ชีวิตต้องมีการเปลี่ยนผ่านของแต่ละช่วงชีวิตต้องดำเนินให้ผ่านแต่ละช่วงไปให้ได้ ชีวิตก็จะมีความสุข