หน้าแรก รายงาน

9 ปีตากใบ PerMAS จี้คู่ขัดแย้งบอกวันยุติสงคราม เปิดทางประชาชนกำหนดชะตากรรมตนเอง

โดย โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
ที่มา ประชาไท

เกาะกระแส 9 ปีตากใบ PerMAS ออกแถลง จี้คู่ขัดแย้งบอกวันยุติสงคราม เปิดทางประชาชนใช้สิทธิกำหนดชะตากรรมตนเอง เวทีเสวนาชี้เหยื่อตากใบตายหลังเหตุชุมนุมอีกเพียบ องค์กรสิทธิยันให้เงินเยียวยาไม่ใช่ความยุติธรรม ชี้ต้องมีผู้รับผิดชอบและถูกลงโทษ ชี้ทั้งสองฝ่ายต้องมีส่วนรับผิดชอบ กอ.รมน.ระบุคนที่ไม่เกี่ยวเอามาใช้ปลุกระดม วอนอย่ายกมาอ้างเพื่อก่อความรุนแรง

กลุ่มนักศึกษาในนามสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ร่วมแสดงละครใบ้ตากใบ ในงานเสวนา 9 ปีตากใบ “ไร้ซึ่งสันติภาพ ตราบใดที่เสรีภาพและความเป็นธรรมยังไม่เห็น” ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี

10477571825_bdc0ba2c79

สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ที่จัดงานเสวนา 9 ปีตากใบ “ไร้ซึ่งสันติภาพ ตราบใดที่เสรีภาพและความเป็นธรรมยังไม่เห็น” ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี

25 ตุลาฯ ครบรอบ 9 ปีตากใบ

วันที่ 25 ตุลาคม 2556 ตรงกับวันครบรอบ 9 ปีของเหตุการณ์ตากใบ หลายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่างร่วมกันจัดงานรำลึกหรือมีความเคลื่อนไหวต่อเหตุการณ์ดังกล่าว เช่น การออกแถลงการณ์เพื่อแสดงท่าทีทั้งจากภาครัฐและภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคมในพื้นที่

เหตุการณ์ตากใบ คือ เหตุเจ้าหน้าที่รัฐได้สลายการชุมนุมของประชาชนนับพันคนที่หน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งนำมาสู่การเสียชีวิตของประชาชนชาวมุสลิมรวม 85 คน โดยเสียชีวิตระหว่างการขนย้ายไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี 78 คน เหตุการณ์กลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของรัฐไทยต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยกลุ่มที่ออกมาทำกิจกรรมในวันดังกล่าว เช่น สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMAS ที่จัดงานเสวนา 9 ปีตากใบ “ไร้ซึ่งสันติภาพ ตราบใดที่เสรีภาพและความเป็นธรรมยังไม่เห็น” ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี โดยนำเรื่องการรำลึก 9 ปีเหตุการณ์ตากใบโยงกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเต็มห้องประชุม

ชี้เหยื่อตากใบตายหลังเหตุการณ์อีกเพียบ

นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ฝ่ายต่างประเทศ สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) กล่าวระหว่างเสวนาว่า สถานการณ์ปัจจุบันของผู้ได้รับกระทบจากเหตุการณ์ตากใบไม่ค่อยมีการพูดถึงหรือรำลึกมากนัก เนื่องจากผู้ได้รับผลกระทบได้รับการเยียวยาจากรัฐ โดยเฉพาะกรณีเสียชีวิตที่ได้รับเงินเยียวยาถึงรายละ 7.5 ล้านบาท

นายอาเต็ฟ กล่าวอีกว่า การเยียวยาดังกล่าวเป็นความฉลาดของรัฐไทยในการเมืองระหว่างประทศ เพราะรัฐไทยต้องการให้นานาชาติเห็นว่ารัฐได้ยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วโดยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งๆที่ชาวบ้านได้เงินเยียวยา7.5 ล้านบาทนั้น เป็นผลพลอยได้จากนโยบายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ไม่ได้มาจากการเรียกร้องของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบโดยตรง

“ที่สำคัญคือหลังเหตุการณ์ตากใบ ผู้ชุมนุมหลายคนที่กลับไปอยู่บ้านแล้วถูกยิงเสียชีวิตจำนวนมากกว่าผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบเสียอีก แต่หน่วยงานที่เก็บสถิติไม่ได้เก็บสถิติผู้เสียชีวิตในกรณีนี้” นายอาเต็ฟ กล่าว

หลังการเสวนามีการแสดงละครใบ้ตากใบ แสดงโดยกลุ่มนักศึกษาหญิงงของ Permas ประมาณ 20 คน จากนั้นมีการอ่านแถลงการณ์ โดยมีนายสุไฮมี ดูละสะ ประธาน Permas

PerMAS แถลง “ตากใบบทเรียนเพื่อยุติสงคราม”

แถลงการณ์ เรื่อง รำลึก 9 ปีตากใบบทเรียนเพื่อยุติสงคราม มีเนื้อหาโดยสรุปว่า แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับปาตานีได้ยกระดับถึงขั้นมีการพูดคุยสันติภาพแล้ว แต่เหตุการณ์ตากใบยังคงเป็นคำถามคาใจของประชาชนปาตานี โดยรัฐไทยยังไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้

ให้เป็นจุดเริ่มต้นสอบเหตุรุนแรง-ประชาชนกำหนดอนาคตตัวเอง

แถลงการณ์ดังกล่าว มีข้อเรียกร้อง 4 ข้อ สรุปได้ดังนี้

1.ให้คู่สงครามทำสงครามภายใต้กติกาสากล

2.ขอให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือน โดยเฉพาะรัฐมาเลเซียที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพปาตานีควรแสดงบทบาทนี้โดยเริ่มจากเหตุการณ์ตากใบ

3.ให้คู่สงครามชี้แจงว่าจะยุติสงครามเมื่อไหร่และอย่างไร เพื่อให้ภาคประชาชนสามารถกำหนดบทบาทและท่าทีต่อการสร้างสันติภาพได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

4.ขอให้คู่สงครามและผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการสันติภาพให้ความสำคัญว่า ประชาชนมีสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองตามหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยสากล

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยัน“ให้เงินเยียวยาไม่ใช่การให้ความยุติธรรม”

ส่วนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม หรือ CRCF ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง ได้ออกแถลงการณ์เนื่องในวันครบรอบ 9 ปีเหตุการณ์ตากใบเช่นกัน

แถลงการณ์ดังกล่าวได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตากใบกับการเยียวยาและความยุติธรรม โดยระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตเป็นคนละ 7.5 ล้านบาท ผู้ได้รับบาดเจ็บคนละ 200,000 – 4.5 ล้าน และผู้ถูกควบคุมตัว คนละ 15,000บาท จากเดิมในคดีแพ่งที่รัฐตกลงจ่ายค่าเสียหายให้ญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บคนละ 3-4 แสนบาท

แถลงการณ์ยังระบุว่า แม้รัฐบาลได้จ่ายเงินชดเชยไปแล้ว แต่ก็ยังมีการเยียวยาอีกประการหนึ่งที่สำคัญกว่า คือการเยียวยาด้วยความจริงและความยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็นการเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงแล้ว ยังเป็นการเยียวยาต่อประชาชนในพื้นที่โดยรวมด้วย

“การจ่ายเงินเยียวยาไม่อาจมองว่าเป็นการให้ความยุติธรรมแต่อย่างใด”

แถลงการณ์ระบุว่า กรณีมีผู้เสียชีวิต 6 ศพในที่เกิดเหตุ ไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนและไม่มีการยื่นคำร้องขอไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามมาตรา 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยอ้างเหตุผลว่าไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด จึงงดการสอบสวน

เผยจุดจบเส้นทางคดี “อัยการไม่ฟ้องผู้ทำผิด”

“ส่วนผู้เสียชีวิตในระหว่างการขนย้าย 78 ศพ แม้มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพและศาลมีคำสั่งแล้วว่าผู้ตายทั้ง 78 คน เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจระหว่างอยู่ในความควบคุมตัวของเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่หลังจากศาลมีคำสั่งดังกล่าวพนักงานอัยการก็มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาผู้กระทำความผิดในกรณีนี้ เป็นเหตุให้การดำเนินคดีอาญาโดยรัฐสิ้นสุดเพียงเท่านี้”

แม้กฎหมายจะให้สิทธิญาติผู้เสียชีวิตสามารถฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้เอง ที่ผ่านมาญาติได้ร้องขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เป็นผู้ฟ้องคดีแทน แต่ไม่มีความคืบหน้า โดยกสม.ให้เหตุผลว่าญาติผู้เสียชีวิตไม่ประสงค์จะฟ้องคดีอาญาแล้ว เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่ญาติผู้เสียชีวิตต้องรับภาระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาที่ยาวนาน ความกังวลต่อความปลอดภัย ฯลฯ

“การที่ญาติผู้เสียชีวิตต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรมแต่เพียงลำพังเป็นภาระที่มากเกินไป รัฐต้องสนับสนุนให้ญาติผู้เสียชีวิตสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ด้วย”

“มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เห็นว่า เหตุการณ์ตากใบเป็นกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง กระบวนการปรองดองและสันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากซึ่งความจริงและความยุติธรรม จึงขอเรียกร้องให้รัฐอำนวยความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง”

แอมเนสตี้ชี้ต้องมีผู้รับผิดชอบและถูกลงโทษ

ส่วนองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก ออกแถลงการณ์ต่อกรณีตากใบเช่นกัน โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงของไทยต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของผู้ประท้วง 85 คนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว โดยต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นางสาวปริญญา บุญฤทธิฤทัยกุล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าละอายที่ไม่มีผู้ใดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจากกรณีความตายนี้ และที่ผ่านมามีการปล่อยให้ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงกรณีอื่นๆ ลอยนวลพ้นผิดไม่ต้องรับโทษในระหว่างการขัดแย้งกันด้วยอาวุธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปด้วย

“กรณีนี้สะท้อนปัญหาการลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่ร้ายแรง ซึ่งมักเกิดขึ้นในภาคใต้และตลอดทั่วประเทศ”

ให้เงินแล้วไม่ได้รับประกันว่าจะไม่ละเมิดสิทธิอีก

นางสาวปริญญา ได้ยกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ที่บังคับใช้ในพื้นที่มีลักษณะที่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงใช้เป็นข้ออ้างไม่ต้องรับผิดทางอาญา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ต้องถูกยกเลิกทันที หรือแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนได้

นางสาวปริญญา กล่าวด้วยว่า การให้เงินกับผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ได้หมายความว่าทางการหลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องนำตัวผู้รับผิดชอบมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และไม่ได้เป็นการรับประกันว่าการละเมิดเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ทั้งสองฝ่ายที่ก่อความรุนแรงต้องมีส่วนรับผิดชอบ

นางสาวปริญญา กล่าวว่า นับแต่ปี 2547 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,000 คนจากการขัดแย้งกันด้วยอาวุธระหว่างรัฐกับผู้ก่อความไม่สงบ ทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

“ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในภาคใต้เป็นเรื่องน่าเศร้า การโจมตีก็มุ่งให้เกิดความหวาดกลัวในบรรดาพลเรือน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน การละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเช่นนี้ เป็นปัญหาท้าทายร้ายแรงต่อกลไกด้านความมั่นคงของไทย การรักษาความสงบของสาธารณะต้องดำเนินไปพร้อมกับการเคารพสิทธิมนุษยชน และต้องไม่ขัดขวางหรือบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพื่อลงโทษผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าผู้ละเมิดนั้นจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือผู้ก่อความไม่สงบก็ตาม” ปริญญากล่าว

กอ.รมน.แถลง คนที่ไม่เกี่ยวเอามาใช้ปลุกระดม

วันเดียวกัน ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ให้สัมภาษณ์กรณีวันครบรอบเหตุการณ์ตากใบว่า เป็นอีกวันที่ได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชน

พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้ ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เดินทางไปยังหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อมอบนโยบายในการรักษาความปลอดภัย ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งวางระบบการรักษาความปลอดภัยโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง

พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม 9 ปีที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบพยายามที่จะลืมเหตุการณ์ดังกล่าว และในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐก็มีความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามที่จะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้ว

“9 ปีที่ผ่านมา ก็ยังมีคนกลุ่มๆหนึ่งที่ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงกับเหตุการณ์ตากใบ พยายามหยิบยกเหตุการณ์นี้ขึ้นมาตอกย้ำความรู้สึกและปลุกระดมทางความคิด ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า ภาครัฐไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา และไม่ให้ความเป็นธรรม”

วอนอย่ายกมาอ้างเพื่อก่อความรุนแรง

พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า ตนอยากให้สังคมได้ตรวจสอบดูว่า ที่ผ่านมาภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด พยายามเยียวยาความรู้สึกและความเสียหาย ที่เป็นตัวเงิน แต่สิ่งที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีซึ่งอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น พยายามหยิบยกขึ้นมาสร้างสถานการณ์

“ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามยกมาเป็นข้ออ้างในการทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ได้รู้เห็นกับเหตุการณ์ จึงขอเรียกร้องไปยังกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ตากใบหรือองค์กรต่างๆ ให้ยุติพฤติกรรมที่จะสร้างความแตกแยก สร้างบาดแผลความรู้สึก ไม่รื้อฟื้นเหตุการณ์ และช่วยกันยุติความรุนแรง เหตุการณ์ในพื้นที่ก็จะลดความรุนแรงลง” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าว