กลุ่มด้วยใจ จัดให้ครอบครัวและญาติผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวเหตุการณ์กลุ่มคนบุกรพ.เจาะไอร้องและโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพราน ที่ 4816 เมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา จำนวน 26 ครอบครัว ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ภาคใต้ และห้องศรีนครา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี(ม.อ.ปัตตานี) โดยมี นายชาติชาย สุทธิกรม ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับหนังสือไปตรวจสอบ เน้นการปฏิบัติทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
นางสาวอัญชนา หีมมิหน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ บอกถึงจุดประสงค์ในครั้งนี้ว่า จากการได้พบและพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการถูกควบคุมตัวของสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่การปิดล้อม ตรวจค้น และควบคุมตัว การไร้ที่พึ่งเมื่อขาดเสาหลักของครอบครัว จึงได้ให้มีการดำเนินการร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติถึงปัญหาที่พวกเขาประสบ รวมทั้งการสื่อสารต่อสื่อมวลชนเพื่อให้สังคมรับทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
นายชาติชาย สุทธิกรม ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า “ดีใจที่ได้รับข้อมูลและยินดีรับไปตรวจสอบ เป็นสิ่งที่น่าดีใจที่เรื่องราวของเจาะไอร้องไม่ลุกลาม การปฏิบัติการมีการบาดเจ็บแต่ไม่มีการสูญเสียมากกว่านี้ การดำเนินคดีต้องทำภายใต้กฎหมาย ต้องดูว่าเป็นไปตามกฏหมายและเหมาะสมหรือไม่ ถ้าไม่อยู่ในหลักการก็จะนำเสนอให้รัฐบาลรับทราบต่อไป”
นางนารามา เจ๊ะโก๊ะ วัย 55 ปี แม่ของลูกชาย 5 คน ถูกควบคุมตัวในเหตุการณ์นี้ 3 คน กล่าวด้วยความเจ็บช้ำใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ใกล้บ้านหรือในตำบลที่เธออยู่ ครอบครัวของเธอจะเป็นครอบครัวแรกที่ถูกจับตาและเป็นเป้าหมายของการจับกุมมาโดยตลอด เมื่อเจ้าหน้าที่มาปิดล้อม ตรวจค้น แล้วก็จับตัวลูกชายของเธอไป แล้วปล่อยออกมา เป็นมาอย่างนี้หลายปี
“เมื่อเกิดเหตุที่รพ.เจาะไอร้อง เราสันนิษฐานว่าเจ้าหน้าที่ต้องมาอีกแน่ จนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม เจ้าหน้าที่เอาปืนมาเคาะประตูบ้าน ตอนนั้นลูกชาย 4 คนนอนหลับอยู่ ฉันฟังภาษาไทยไม่ค่อยออกจึงไปปลุกแล้วบอกว่า เจ้าหน้าที่มาที่บ้าน ซึ่งหลังบ้านฉันติดกับมัสยิด เมื่อหันไปมองเห็นปลายประบอกปืนส่องเข้ามาทุกที่ที่มีรูของบ้าน เมื่อลูกชายไปเปิดประตูก็เจอกับเจ้าหน้าที่ที่ถือปืนจ่ออยู่และตั้งแนวป้องกันอยู่หน้าประตู ฉันบอกให้เขาเอาปืนลง เพราะถ้ายิงใส่ใครแล้วใครจะรับผิดชอบ ถ้าไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนฉันก็คงเป็นลมไปแล้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่มาพยุงให้ฉันไปนั่งที่แคร่หน้าบ้าน ให้ลูกชายทั้งหมดไปอยู่บนถนนหน้าบ้าน ตอนนั้นยังไม่ได้ละหมาดซุบฮฺ(ละหมาดตอนหัวรุ่ง) ฉันขอให้ลูกได้ละหมาดก่อน เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไปละหมาดที่โรงพัก แล้วบอกว่าให้คนในบ้านออกมาให้หมดซึ่งตอนนั้นไม่มีใครแล้ว จากนั้นก็พาลูกชายทั้งหมดไป แล้วปล่อยตัวลูกชายสุดท้องที่ยังเรียนปอเนาะออกมา”
นารามาบอกว่า ทุกปีจะมีเหตุให้ลูกชายเธอถูกจับกุมเรื่อยมา จับแล้วจับอีก ใส่คดีความต่างๆ เธออยากให้มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการหรือหาหลักฐานพยานให้ชัดเจนก่อนมาจับกุม จึงมีแต่ความเสียใจและเสียความรู้สึกกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ตอนนี้ลูกชายทั้งสามของเธอยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่ จ.ยะลา
นางสาวนาซีลา ดือราแม จากบ้านไอร์ปาแย อ.เจาะไอร้อง ซึ่งยังเดินได้ไม่คล่องจากอุบัติเหตุรถชนสามคนพ่อแม่ลูกคือ เธอ สามีและลูก เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนเมื่อวันที่ 19 มีนาคม สามีของเธอคือ นายมะรอปี มะสีละ ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปจากรพ.นราธิวาสราชนครินทร์ที่เขาเฝ้าดูอาการเธอมาทุกวัน
นาซีลาบอกว่า ตอนเกิดเหตุรถชน เธอได้รับบาดเจ็บหนักคนเดียว หน้าแข้งฉีกขาดเดินไม่ได้ มะรอปีต้องอุ้มเข้าห้องน้ำและอุ้มตลอดเวลาจะไปไหน เขาเฝ้าเธอโดยไม่ห่างไปไหน และฝากลูกทั้ง 4 คนไว้กับแม่สามี
“ตอนเย็นวันที่ 19 มีนาคม เขาพาฉันไปนั่งที่ระเบียงหลังห้อง มีเจ้าหน้าที่สองคนมาแสดงตัวแล้วถามชื่อสามี เมื่อเขาบอกชื่อ เจ้าหน้าที่ให้ไปคุยข้างล่าง ฉันบอกว่าถ้าไปคุยแล้วไม่ขึ้นมาใครจะเฝ้า เจ้าหน้าที่บอกว่าคุยไม่เกินครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นสามีโทรศัพท์มาบอกว่าอยู่ที่เขาตันหยง ฉันจึงโทรบอกแม่สามีช่วยมาเฝ้าแทน”
เธอบอกว่า สามีถูกคุมตัวที่เขาตันหยง 2 วัน และเจ้าหน้าที่ให้เซ็นเอกสาร แล้วถูกส่งไปที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ซึ่งไกลจากบ้านเธอมาก เธอได้ไปเยี่ยมไม่กี่ครั้ง พาลูกๆ มาบ้างแต่ไม่สะดวกด้วยระยะทางที่ไกลและมีค่าใช้จ่ายที่มากพอสมควรในการไปเยี่ยมแต่ละครั้ง แม้ว่าจะไปพร้อมกับเพื่อนๆ ที่ประสบเหตุเดียวกันก็ตาม เพราะตั้งแต่เธอประสบอุบัติเหตุจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถรับจ้างตัดเสื้อผ้าที่เคยทำได้ ซ้ำยังมีลูกวัย 11 – 1 ขวบอีก 4 คนที่ต้องดูแล ขณะที่สามียังถูกควบคุมตัวโดยไม่รู้ชะตากรรม จึงทำให้เธอและหลายครอบครัวที่มีทุกข์เหมือนกันมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและอิสรภาพให้แก่พวกเขา
“ตอนไปเยี่ยมเขาบอกว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันก็มั่นใจในตัวเขาว่าไม่ได้ทำผิด อยากขอความยุติธรรมให้สามีและปล่อยตัวกลับเสียที” นาซีลากล่าวลงก้มหน้าซ่อนน้ำตา
“สาเหตุที่น้องชายถูกจับตัวไปเพราะเจ้าหน้าที่อยากได้ข้อมูลของพี่ชายที่หายสาบสูญไปหลายปี ไม่ได้กลับมาบ้าน เจ้าหน้าที่จึงเอาน้องชายเป็นตัวประกันและถามหาแต่พี่ชายว่าหายไปอยู่ที่ไหน” นางสาวมัสกะ มาน๊ะ พี่สาว นายอิบรอฮิม มาน๊ะ ที่ถูกควบคุมตัวอยู่เช่นกันบอกถึงสาเหตุที่น้องชายถูกคุมตัวและมายื่นคำร้องแทนน้องสะใภ้คือ นางสาวนิอัสมี ดาหะแมง
“ในวันที่เกิดเหตุที่รพ.เจาะไอร้อง อิบรอฮีมช่วยแม่ยายขายไก่ย่างอยู่ข้างธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขายี่งอ ช่วงบ่ายจึงได้กลับไปยังบ้านเกิดที่เจาะไอร้อง จนวันที่ 24 มีนาคม เจ้าหน้าที่กับผู้ใหญ่บ้านมาขอตัวเขาไปขณะที่กำลังเลี้ยงลูกชายอยู่ในเปล เจ้าหน้าที่บอกว่าจะเอาไปสอบสวนที่ค่ายปิเหล็ง 3 วัน แต่เขาเอาไปที่เขาตันหยง ซึ่งภรรยาเขาไปเยี่ยมทุกวัน อิบรอฮีมบอกกับภรรยาว่าเจ้าหน้าที่สอบถามแต่เรื่องของพี่ชายเกือบตลอดเวลา เมื่อแม่ไปเยี่ยมก็สอบถามเรื่องพี่ชายอีกและบอกว่าถ้าอิบรอฮีมรู้ข้อมูลของพี่ชายให้บอกเจ้าหน้าที่แล้วก็กลับบ้านได้ แม่ก็บอกว่าไม่รู้ว่าพี่ชายอยู่ที่ไหน เขาไม่เคยติดต่อกลับมา ตอนพ่อเสียชีวิตก็ไม่กลับ”
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ยังให้อิบรอฮีมเซ็นเอกสารซึ่งระบุว่า เขาไม่มีความผิดแต่เกี่ยวข้องทางสายเลือดเพราะเป็นน้องชายของคนที่หายไป จนวันที่ 30 มีนาคม เจ้าหน้าที่พาตัวอิบรอฮีมไปที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี โดยแม่ พี่สาวและภรรยา ผลัดกันมาเยี่ยมและทราบว่า เจ้าหน้าที่ยังสอบถามเรื่องเดิมคือข้อมูลของพี่ชายที่หายตัวไป ซึ่งไม่มีใครรู้
“ในเมื่อน้องชายไม่มีความผิดอะไรก็ขอให้ปล่อยตัวออกมา พวกเราไม่มีและไม่รู้ข้อมูลใดๆ ของพี่ชายเลย อย่าเอาน้องชายไปเกี่ยวข้องด้วยเลย เขาไม่รู้เรื่องและไม่ได้ทำผิด” มัสกะ ฝากทิ้งท้าย
พวกเธออยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเป็นธรรมภายใต้กฏหมาย
หากเป็นความจริงทุกคนยอมรับได้ หากมิใช่ความจริงโปรดคืนความเป็นธรรมให้ทุกคนด้วย