หน้าแรก ข่าวในประเทศ ข่าวชายแดนใต้

“อัสโตรา ญาบัต” อดีตนักข่าวจากภาคใต้ ตระเวน 10 ประเทศอาเซียน กับภารกิจ “ปั่นจักรยานเพื่อสันติภาพ”

อัสโตรา ญาบัต กำลังปั่นจักรยานใกล้กับศรีปตาลิง กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อเร็วๆ นี้

ฮัสซัน อับดุลเราะห์มาน ที่ใช้นามปากกาว่า อัสโตรา ญาบัต (Astora Jabat) ซึ่งเป็นชื่อที่รู้จักกันดีในวงการสื่อของมาเลเซีย เนื่องจากผลงานเขียนที่ชอบถกเถียงของเขา ที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์มิงฆูวัน (Mingguan) ของมาเลเซีย หนังสือพิมพ์ภาษามลายูฉบับวันอาทิตย์

งานเขียนของเขาค่อนข้างมีลักษณะโต้เถียง จนทำให้สถาบันพัฒนาอิสลามแห่งมาเลเซีย Jabatan Kemajuan Islam Malaysia (Jakim)  ได้ออกประกาศว่าอดีตผู้สื่อข่าวอูตูซันดังกล่าว เป็นผู้ที่สนับสนุนของแนวคิด “เสรีนิยมและพหุนิยม” เมื่อปี 2013

หนึ่งในงานเขียนของเขาที่สร้างความขัดแย้งมากที่สุดคืองานเขียนเรื่อง “ท่านศาสดาสั่งให้เราปฏิเสธกฎหมายฮูดุด” ที่เผยแพร่เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2002 ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้น มาทางผู้เกี่ยวข้องได้พิจารณาเห็นว่างานเขียนของเขานั้นหลงทาง (ออกนอกลู่)

เขายังได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ของไทยอีกด้วย ซึ่งเขาเป็นคนพื้นเพจากจังหวัดนราธิวาส

การจัดรายการทางวิทยุ

อัสโตรากล่าวว่าสำหรับในคอลัมน์มิงฆูวันของมาเลเซียของเขา เคยได้รับจดหมายทางอีเมลล์อย่างน้อย 8,000 ฉบับ และจดหมายพร้อมกระสุนสองนัดจากนักวิจารณ์ (ผู้ต่อต้าน) เขาอีกด้วย

เมื่อปี 2013 อัสโตราได้นำผลงานเขียนของเขา ไปออกอากาศผ่านสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน ซึ่งเป็นรายการวิทยุประเภทการเมือง ที่ส่งเสริมให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเขายังมีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 2 ล้านคนทั่วเอเชีย

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้พักจากการเขียนและปิดเครื่องโทรศัพท์ เพื่อให้ความสนใจกับการปั่นจักรยาน การที่ผู้ชายในวัย 62 ปีได้กระทำการเช่นนี้ ก็เพื่อภารกิจปั่นจักรยานไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อต้องการเผยแพร่ “สาร” ผ่านการ ‘ปั่นจักรยานเพื่อสันติภาพ’ (Bike for Peace) สืบเนื่องจากปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย

ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความรุนแรงในพื้นที่ดังกล่าวมีจำนวนเหตุการณ์เพิ่มขึ้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน นับตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา  ซึ่งล่าสุดได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเนื่องในวันครบรอบการสถาปนาของขบวนการการปฏิวัติแห่งมลายูปาตานีในวาระครบรอบ 56 ปี ซึ่งเป็นขบวนการติดอาวุธเพื่อปลดแอกที่ใหญ่และที่มีอิทธิพลที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ของไทยที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

และเมื่อวันอาทิตที่ผ่านมา ทางขบวนการต่อสู้ได้กระทำการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อปฏิบัติการเข้ายึดโรงพยาบาล และได้ทำการโจมตีฐานทหารพรานในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งสหประชาชาติ (UN) และสิทธิมนุษยชนได้ออกมาประณาม
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (OCHCR) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่กลุ่มติดอาวุธไม่ต่ำกว่า 50 คน ได้ทำการยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ในจังหวัดนราธิวาสประมาณ 30 นาที ในขณะที่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ยังคงอยู่ในโรงพยาบาล

ทางทีมข่าวเบอร์นัรนิวส์ ได้พบกับอัสโตรา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงที่เขาได้บันทึกการปั่นจักรยานด้วยระยะทาง 1,400 กิโลเมตร ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มเดินทางจากประเทศไทย

เขาได้พบกับผู้คนมากมายตลอดการเดินทางในครั้งนี้และเขาได้ถือโอกาสนี้ในการ “อธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งให้กับคนในที่ต่างๆ”

ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้เขาได้ใช้งบส่วนตัว ที่เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาเอง เพื่อให้บ้านเกิดตนเองมีความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ และเขาเชื่อว่าทุกคนควรมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้

“เพื่อให้ความพยายามในการแสวงหาความสงบได้บรรลุผล เราต้องมีวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายของเรา และสิ่งที่ผมได้ปฏิบัตินี้คือ โดยการปั่นจักรยานไปใน 10 ประเทศอาเซียน”

“ขณะนี้เราได้มีหมุดหมายเพื่อไปยังเป้าหมายในการประกาศสันติภาพ และผมได้ปฏิบัติในส่วนของผม เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อนอีกแรงหนึ่งไปพร้อมๆ กับองค์กรพัฒนาเอกชนอื่น ๆ ที่ปรารถนาอยากให้มีการประกาศสันติภาพในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย” อัสโตรากล่าวกับทีมข่าวเบอร์นัรนิวส์ ในช่วงการให้สัมภาษณ์พิเศษ
อัสโตรามีแผนที่จะแบ่งปันงานเขียนและวิดีโอสารคดีเกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในครั้งนี้อีกด้วย

“หวังว่ามันจะถูกเผยแพร่ในประเทศไทย ผมหวังว่าผู้คนจะได้ชมมันและร่วมกันสนับสนุนความพยายามของผมในครั้งนี้ ที่อยากให้เกิดสันติสุข” เขากล่าว

การเดินทางที่มีความเสี่ยง

อัสโตราได้เผชิญกับความท้าทายตลอดช่วงการเดินทางในช่วงแรก

“ต้องเผชิญกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ภาคใต้ และที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการประกาศสันติภาพ   เพราะเขาคิดว่าพวกเขายังไม่มีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา” เขากล่าว

การผจญภัยครั้งนี้ อัสโตราเริ่มต้นด้วยการปั่นจักรยานหกวัน จากปัตตานีถึงนราธิวาส ร่วมกับนักปั่นจักรยานคนอื่นๆ กว่า 30 คน จากมหาวิทยาลัยมหิดลในกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี และนักปั่นจากภาคใต้

ในช่วงแรกอัสโตรามีความลำบากมากในการปั่นจักรยาน และมักจะถูกทิ้งห่าง เพราะเขาไม่ได้เป็นนักปั่นจักรยานทางไกล

“มันเป็นการเดินทางที่มีความเสี่ยงมาก เพราะผมมักจะตกเป็นเป้าของเจ้าหน้าฝ่ายความมั่นคง เพราะพวกเขารู้ว่าผมเป็นใครและเป้าหมายของผมคืออะไร” เขากล่าวและว่า “ในที่สุด ในวันสุดท้ายของการเดินทางในภาคใต้ครั้งนี้ ผมสามารถปั่นจักรยานได้ดีขึ้น ได้ขับนำขบวนทั้งหมดตลอดทั้งวันดังกล่าว”

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ อัสโตรา ได้แยกจากขบวนนักปั่นดังกล่าว และทำการบินเดี่ยวจากประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซีย 17 วันของการเดินทาง ได้ผ่านเส้นทางมากกว่า 800 กิโลเมตร เพื่อไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์

“ซึ่งตรงกันข้ามกับการเดินทางครั้งแรกของผมในประเทศไทย ผมไม่ได้ประสบกับการคุกคามใด ๆ จากฝ่ายความมั่นคง ในมาเลเซีย แต่ผมต้องทนกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและจำเป็นต้องดูแลตัวเองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น” เขากล่าว

ความท้าทายตลอดช่วงการเดินทาง

ต่อมาเขาได้พบกับนักปั่นจักรยานอีกหลายคนที่มาเลเซีย อัสโตราได้เล่าถึงความสนุกสนานเกี่ยวกับการปั่นจักรยานตระเวนไปยังรัฐต่างๆ ในมาเลเซีย และเขากล่าวอีกว่า เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวบ้านและโดยเฉพาะจากบรรดานักอ่านของเขา

“ผมไม่คาดคิดว่าชาวบ้านที่นี่จะให้การต้อนรับได้ดีเช่นนี้ พวกเขาเตรียมสถานที่พักเพื่อค้างแรมให้ รวมไปถึงอาหารและผมขอขอบคุณ(ชูโกร) ที่อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีน้ำใจ” เขากล่าว

นอกเหนือไปจากสารแห่งสันติภาพ อัสโตรา ตั้งใจที่จะเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพที่ดี

หนึ่งปีเพื่อสันติภาพ

อัสโตรายังเดินทางต่อไปทางตอนใต้ของมาเลเซียด้วยจักรยานไปยังประเทศสิงคโปร์ และได้เดินทางกลับไปยังประเทศไทยอีกครั้ง ผ่านรัฐต่างๆ ในประเทศมาเลเซีย เช่น ปาหัง ตรังกานู และกลันตัน

อัสโตราคาดว่าการเดินทางของเขา คงจะใช้เวลาหนึ่งปี โดยผ่านประเทศกัมพูชา เวียดนาม ลาว พม่า อินโดนีเซีย บรูไนฟิลิปปินส์ และติมอร์เลสเต

ในระหว่างที่อัสโตราดำเนินการปั่นจักรยานเพื่อสันติภาพ ทางผู้นำรัฐบาลทหารไทยยังคงพยายามที่จะชักชวนให้กลุ่มต่อสู้ได้ดำเนินการพูดคุยเพื่อสันติภาพอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อเดือนธันวาคมปี 2013 ในสมัยรัฐบาลพลเรือน

รัฐบาลได้มีการกำหนดในเดือนมิถุนายน 2016 เพื่อเป็นช่วงสุดท้ายสำหรับการลงนามในข้อตกลงเพื่อสันติภาพ แต่พลโท นักรบ บุญบัวทอง หัวหน้าทีมพูดคุยฝ่ายไทย ไม่ได้ระบุสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้
ความขัดแย้งในพื้นที่แห่งนี้ ที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน และได้คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 6,000 คน นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา

 

แปลจาก http://www.benarnews.org/malay/berita/my-astora-160317-03172016122518.html