ศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนาและเครือข่าย จัดเสวนา “พลวัตการศึกษาในปาตานี’’ เพื่อศึกษากรณีปอเนาะญีฮาดวิทยา
12 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา เวลา 14.00-17.00 น. ศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา หรือ Pukis จัดเวที เสวนา สาธารณะ พลวัตรการศึกษาในพื้นที่ปาตานี กรณี ศึกษา ปอเนาะญีฮาดวิทยา ณ สำนักงาน โดยมีผู้เข้าร่วม จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นเครือข่ายคณะทำงานภาคประชาสังคม วิทยากร โดย นาย ฮัสนี ดอเลาะแล ประธานศูนย์ วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา (PUKIS) และ นายมูฮำหมัดอัสมิง เปาะแมรีซอ ประธาน เครือข่ายอาสาสมัครผู้ช่วยทนายความมุสลิมจังหวัดชยแดนภาคใต้ (Span) โดยมีอุสตะ.รอซาลี บือแน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการสาธารณะ ศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายฮัสนี กล่าวว่า การศึกษาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ และปาตานีเองก็เป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาอิสลาม หรือศูนย์กลางอิสลามที่เก่าแก่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในพื้นที่ปาตานีแห่งนี้ มีการใช้ระบบการเรียนการสอนแบบดังเดิม หรือ ในรูปแบบปอเนาะอีกด้วย จึงกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ว่า ในพื้นที่ปาตานีมีระบบการเรียนแบบระบบปอเนาะที่สามารถสร้างคนให้เป็นคนดีและเป็นคนเก่งได้อีกด้วย ทั้งนี้ในพื้นที่ปาตานีแห่งนี้ยังมีอุลามะฮที่ได้การยอมรับในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโลกอาหรับอีกด้วยสำหรับการศึกษา ในพื้นที่ปาตานีนั้น เป็นรูปแบบการศึกษาในระบบปอเนาะที่ยึดตามหลักการศึกษาอิสลาม และมีการใช้ภาษามลายูในการเรียนการสอน
“โดยภาพรวมแล้ว การศึกษาในพื้นที่ปาตานีมีการใช้ภาษามลายู แต่นโยบายของรัฐโดยเฉพาะในช่วงของรัฐนิยม ที่ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐไทยที่มาเกี่ยวโยงกับสถาบันการศึกษา ในสมัยของรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เพื่อสร้างความรักชาตินั้น โดยแท้แล้วนโยบายดังกล่าวนี้ ถือว่า ไม่เหมาะสมต่อคนในพื้นที่ชายแดนใต้ หรือปาตานี เนื่องจากวิถีปฏิบัติของคนมลายูปาตานีไม่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว แล้วนโยบายรัฐเข้ามาแทรกแซงในเรื่องของหลักสูตรเป็นมาอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุเช่นนี้ที่ทำให้ คนในพื้นที่เกิดการต่อต้านรัฐ ซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง อีกด้วย” นายฮัสนี กล่าว
ด้าน นายมูฮำหมัดอัสมิง กล่าวว่า ปอเนาะ ญีฮาด ได้ก่อตั้งในเวลานั้นเนื่องจากคนในพื้นที่บ้านท่าด่านขาดความรู้ในเรื่องศาสนาทำให้ บาบอเฮง ซึ่งเป็นผู้รู้ศาสนาในเวลานั้น มีความคิดที่จะสร้างปอเนาะเพื่อเปิดสอนวิชาความรู้ในเรื่องศาสนาให้กับคนในหมู่บ้าน
นายมูฮำหมัดอัสมิง กล่าวต่อว่า ปอเนาะญีฮาดวิทยาไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษาปอเนาะเพียงอย่างเดียวยังได้มีบทบาทในการแก้ปัญหาหมู่บ้านในเรื่องต่างๆ แต่ก็ดำเนินการไปได้ไม่นาน เนื่องจากเปิดไปได้เพียงแค่ไม่ถึงสิบปี บาบอเฮง ถูกยิงเสียชีวิต จากการสืบสวนภายหลังพบว่า ผู้ยิงเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดน
“ภายหลังจาก บาบอเฮงเสียชีวิตได้ตั้ง ชาวบ้านได้ให้ นายดุลเลาะ แวมะนอ มารับหน้าที่แทน และเมื่อมาถึงปี 2548 เจ้าหน้าที่ทหารได้มาปิดล้อมตรวจค้นและสำหรับในเรื่องคดีนั้น เริ่มจากที่ ปี 2548ที่มีการเชื่อมโยงมาจากการซัดทอดของผู้ต้องหาสองคนที่บอกกับเจ้าหน้าที่ในชั้นสืบสวนว่า พวกเขาได้ฝึกอาวุธภายในบริเวณโรงเรียนญีฮาดวิทยา” นายมูฮำหมัดอัสมิง กล่าว และว่า
“คดีนี้มีกลุ่มบุคคล 36 คนถูกออกหมายจับในข้อหาเป็นกบฏและอั้งยี่ สะสมกำลังพลเพื่อการแบ่งแยกดินแดนและในจำนวน36คนนั้น ส่วนหนึ่งไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหนึ่งในนั้นคือนายดุลเลาะ แวมะนอ และต่อมาได้มีคำสั่งศาลออกมาว่า เป็นบุคคลสูญหาย ส่วนผู้ที่เข้าสู้กระบวนการยุติธรรมมีการสู้คดีและได้รับการยกฟ้องทั้งหมดเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ”
“นอกจากคดีอาญาแล้ว มีคดีตาม พรบ.ปปง.อีกด้วย โดยมีอัยการเป็นตัวแทนที่นำคดีขึ้นสู่ศาลแพ่งร้องขอให้ยึดทรัพย์เพราะเห็นว่าเป็นการใช้ที่ดินไปสนับสนุนการก่อการร้าย หลักฐานสำคัญในคดีนี้คือคำให้การของผู้ต้องหาสองคนในคดีอาญาดังกล่าวที่ระบุว่าพวกตนเคยไปฝึกอาวุธในโรงเรียนญีฮาดวิทยา จนในที่สุดศาลแพ่งตัดสินเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาให้ริบทรัพย์เป็นของแผ่นดินตามที่ปปง.ได้ร้องขอ” นายมูฮำหมัดอัสมิง กล่าว