หน้าแรก รายงาน

นักวิชาการหวั่นต้านมัสยิดน่านบานปลาย! ใช้ปลุกผีกลุ่มสุดโต่งจชต. ชี้โยงกรณีครูจูหลิง แต่ยังมั่นใจจะผ่านไปได้ด้วยดี

นักวิชาการมุสลิมภาคเหนือแนะมุสลิมใช้ความอดทนกรณีต้านมัสยิดน่าน หลังกระแสตอบโต้ทางโซเชี่ยลส่อเค้ารุนแรง ย้ำเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หวั่นถูกนำเอาไปใช้ปลุกผีกลุ่มสุดโต่งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ คณะกรรมการกลางอิสลามเตรียมลงพื้นที่ชี้แจง เชื่อ ชาวน่านเข้าใจ ซึ่งต้องเวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย

ท่ามกลาง กระแสการโจมตีผ่านโซเชี่ยลมีเดีย ที่กำลังเป็นกระแสร้อนเกี่ยวกับการสร้างมัสยิดในพื้นที่จังหวัดน่าน ที่ถูกต่อต้านโดยประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง และถือเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นกรณีศึกษาให้กับสังคมไทย ที่กำลังเดินเข้าสู่ กระแสเหยียดศรัทธาความเชื่อทางศาสนา ที่ล่าสุดแม้จะมีความพยายามหาทางออกจากทุกฝ่าย แต่ยังกลายเป็นความเคลื่อนไหวอย่างดุเดือดผ่านโซเชี่ยลมีเดียเป็นระยะๆ

“พับ ลิกโพสต์” มีโอกาสเปิดใจ “ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี” กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย นักสันติวิธี และนักวิชาการมุสลิมเชียงใหม่ ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นในเชิงปรากฏการณ์ รวมถึงสาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหาในอนาคตว่า “จริงๆ กรณีที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการกลางอิสลามกลาง คณะกรรมการอิสลามทางภาคเหนือ และคนจากทางสำนักจุฬาราชมนตรี ได้เตรียมหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยอาจจะมีการลงพื้นที่ในเร็วๆ นี้ รวมถึงการประสานกับหน่วยงานระดับจังหวัดและชุมชน เพื่อทำความเข้าใจและชี้แจง โดยมีทั้งประธานหอการค้า นักการเมือง ในท้องถิ่น ร่วมประสานไปยังชุมชน เปิดเวทีชี้แจงเพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสหารือกันในเรื่องนี้ และนำไปสู่การหาทางออกร่วมกัน”

“ซึ่ง เรื่องนี้คงต้องยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาต้องใช้ความระมัดระวังเป็น พิเศษ และที่ผ่านมานักวิชาการที่ไม่ใช่มุสลิมเองก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในสิ่งที่ เกิดขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ อันหนึ่งสำหรับสังคมไทย และแน่นอน ส่วนตัวมีความห่วงใยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และท่าทีจากพี่น้องชาวมุสลิม หลังมีการนำกระแสดังกล่าวไปขยายความในโลกโซเชี่ยลมีเดีย และมีการตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน”

“เรื่อง นี้เป็นเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนซึ่งก็อยากให้ทุกฝ่ายใช้สติ และใช้ความระมัดระวัง เพราะความใหม่ของปรากฏการณ์นี้และสิ่งที่เกิดขึ้นอาจมีความเป็นไปได้ที่จะ ส่งผลกระทบขยายวงไปถึงกลุ่มสุดโต่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นการจุดชนวนสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งในสังคมในที่สุด”

“ก่อนหน้านี้กระแสในโซเชียลมีเดีย ค่อนข้างแรง มีการโพสต์โจมตีกันค่อนข้างรุนแรง หากไม่ระมัดระวังใช้อารมณ์ จะยิ่งเป็นการกระพือความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ในการเตรียมการลงไปเพื่อแก้ปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ นั้นส่วนหนึ่งก็จะเป็นการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงการต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องชาวมุสลิมในพื้นที่ไปพร้อมๆ กัน” นักวิชาการมุสลิมเชียงใหม่กล่าว และว่า

“คิดว่าทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งในส่วนของพี่น้องมุสลิม และในส่วนของพี่น้องชาวจังหวัดน่าน เรื่องนี้ ยอมรับว่า ปัจจัยภายนอกมีส่วนสำคัญ และมีส่วนเกี่ยวพันโยงใยไปในหลายๆ เรื่อง มีการสร้างกระแสความหวาดกลัว และหวาดระแวง มีการวาดผีมาหลอกตัวเอง สร้างผีมาหลอกตัวเอง เป็นทั้งความหวาดกลัวและความระแวง เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นแล้วในจังหวัดเชียงราย”

“ก่อน หน้านี้ก็เคยมีกรณีการสร้างมัสยิดที่เวียงป่าเป้า ในจังหวัดเชียงราย และมีการคัดค้าน แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ แต่ในกรณีที่น่านอาจมีความแตกต่าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีการพูดถึงเรื่องของกลุ่ม ISIS หรือเป็นความฝังจำจากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างกรณีครูจูหลิง ที่เป็นชาวเหนือ รวมถึงกรณีผู้พิพากษาชาวเหนือที่ถูกลอบทำร้ายจนเสียชีวิตในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ โดยส่วนตัวแล้วมีประสบการณ์ได้ไปทำงานที่จังหวัดน่าน ชาวน่านมีความคอนเซอร์เวทีฟ รักและหวงแหนในวัฒนธรรม และประเพณีท้องถิ่นมาก ซึ่งตรงนี้ ก็ต้องทำความเข้าใจเช่นเดียวกัน”

“นอกจาก นี้ยังมีเรื่องราวของผลประโยชน์ เกี่ยวกับการขายที่ดิน การรับเหมาก่อสร้าง เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนที่มีการมองข้ามไปถึงเรื่องการเมือง หรือเรื่องของลัทธิต่างศาสนาที่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง และสนับสนุนกลุ่มต่างๆ จนนำไปสู่ขัดแย้ง แต่จากผลที่เกิดขึ้น ถ้าจะถามถึงสาเหตุ ตนมองว่าอาจจะยังไกลไปที่จะสรุปว่าเป็นเรื่องของการเมือง หรือเรื่องความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งส่วนตัวขอไม่เชื่อไว้ก่อน ที่อ้างว่าเป็นเมืองพุทธ นั่นก็อาจไม่ใช่ทั้งหมด เพราะมีโบสถ์คริสต์เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นานแล้ว ” ผศ.ดร.สุชาติกล่าว

ขณะ ที่แนวทางการแก้ไขปัญหา และทางออกในอนาคตนั้น ผศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า “ส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้การพูดคุยหาทางออกน่าจะเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด และปลายทางเชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้ในที่สุดแต่คงต้องใช้เวลา และควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น อาจสร้างเป็น บาแลก่อน แล้วจึงพัฒนาเป็นมัสยิดในอนาคต หรือการให้เวลากับการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้มากขึ้นกว่านี้ก่อน เช่นเดียวกับกรณีการเผยแพร่คริสตศาสนา”

“ขอ ย้อนกลับไปที่กรณีโบสถ์คริสต์ ก่อนหน้าที่จะเกิดโบสถ์คริสต์ ก็ต้องมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ และสามารถทำความเข้าใจ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชนในพื้นที่ได้ ส่วนตัวคิดว่าผู้ใหญ่ในอิสลาม ควรจะต้องลงมาศึกษาหาข้อมูลและดูตรงนี้ด้วย” ผศ.ดร.สุชาติ กล่าว

ที่มา พับลิกโพสต์ออนไลน์ http://www.publicpostonline.net/?p=1575