“คำว่า “ละเมิดสิทธิ์” คำเดียว เป็นบ่อเกิดของทุกปัญหาในพื้นที่แห่งนี้ ถ้าทุกคนรู้สิทธ์ของตัวเองจะไม่มีปัญหา สามารถปกป้องตัวเองได้”
บุษยมาศ อิศดุลย์ หรือ แม่แอน พี่แอน แห่งบ้านบุญเต็ม สถานพักพิงใจเยาวชน กลางเมืองยะลา บอกถึงเรื่องราวที่มีปัญหาอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้แห่งนี้ว่ามาจากการละเมิดสิทธิ์ในทุกเรื่อง
บ้านในรั้วรอบขอบชิด แวดล้อมไปด้วยพรรณไม้หลังนี้ คือบ้านของแอนที่เปิดต้อนรับเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่พร้อมปรับพฤติกรรม ปรับชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า โดยจุดเริ่มต้นมาจากในอดีตที่บิดาของแอนเป็นข้าราชการที่ต้องย้ายไปหลายที่ เมื่อมารับราชการที่อ.เบตง มารดาของแอนจึงมาซื้อที่ดินและสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา รวมทั้งเป็นบ้านพักของบรรดาลูกหลานเพื่อนบิดาที่เข้ามาเรียนในเมือง แอนจึงคุ้นเคยกับการเปิดบ้านต้อนรับสมาชิกมาโดยตลอด
“พ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช แม่เป็นคนกรุงเทพฯ ย้ายกันไปตามหน้าที่ราชการ จนมาปักหลักที่ยะลา พี่ถือว่าตัวเองเป็นคนยะลา อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สี่ขวบ เห็นแม่ต้อนรับคนมาเยือนตลอดมา จนเรียนจบไปเป็นครูที่โรงเรียนวชิราโปลีเทคนิค จ.สงขลามาช่วงนึง เป็นอาชีพที่รักที่สุด จนแต่งงานกับตำรวจ ย้ายกลับมาที่ยะลา ลูกๆ เติบโตที่นี่ จนเริ่มมีกฎอัยการศึก มีเพื่อนๆ ของลูกมาอยู่ด้วยซึ่งบางคนมีปัญหาครอบครัว บางคนพ่อแม่เอามาฝาก สักสองอาทิตย์ก็จะรู้ว่าเขาจะไปทางไหน เหมาะกับอะไร
เมื่อมาอยู่ที่บ้านนี้ต้องมีกติกาในการอยู่ร่วมกันคือต้องมีงาน มีอาชีพ ถ้าไม่เรียนหนังสือ ต้องทำงาน ไม่อยู่อย่างล่องลอย จะติดยามาไม่ว่า เมื่อมาอยู่ต้องปรับพฤติกรรม ลด ละ เลิก ต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ ให้ความคิด หาพื้นที่ให้ ให้รู้ว่าโลกกว้าง ชีวิตไม่ได้มีแค่วัย 15-16”
แอนบอกว่า เมื่อก่อนไม่เข้าใจเด็กพวกนี้ คิดว่าเป็นกากเดนสังคม โทษว่าทำให้ลูกของเธอต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน จนวันหนึ่งมาพิจารณาดูพบว่า ตัวเองคือผู้ที่ทำให้ลูกมีปัญหา ต้องโทษตัวเองที่ยุ่งกับงานนอกบ้านจนละเลยเวลาของลูก เมื่อเด็กไปรวมตัวกัน โลกของเขาคือเพื่อน
“เราเคยอายุ 15-16 แต่เขาไม่เคยอายุ 30-40 ไม่รู้ว่าเราคิดยังไง แต่เราต้องเข้าใจเขา เมื่อคิดได้ก็ยิ้มออก ได้อ่านหนังสือจิตวิทยาครอบครัวของดร.นวลศิริ เปาโรหิตย์ ที่บอกทุกอย่าง เมื่อแม่ๆ ที่มีลูกมีปัญหามานั่งคุยกันทุกคนก็ปรับความรู้สึกได้ จึงต้องเปิดบ้านให้มาคุยกัน มาอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องเป็นห่วง พอเด็กมีปัญหาก็มาหาที่นี่ เพื่อให้ช่วยแก้ปัญหา”
“มีเคสนึงมาจากปัตตานี บอกว่าเมื่อไปโรงพัก พี่ชายที่เป็นตำรวจอยู่ที่นั่น ไม่เคยถามว่าไปโรงพักเพราะอะไร สิ่งแรกที่ทำคือ เตะก้านคอก่อน เขาจึงไม่อยากอยู่บ้าน อยากไปให้ไกลจากปัตตานี แม่ไปมีครอบครัวใหม่ที่ประเทศยูเครน กลับมาปีละ 5 วันที่ได้อยู่ด้วยกัน ส่วนพ่อไม่สนใจเขา เขาจึงรู้สึกว่า ไม่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่ ทำไมพี่ชายไม่ถามเขาบ้างว่าเจออะไร แต่มาคุยกับพี่ได้ หรือเคสเด็กผู้หญิงที่รู้สึกไม่ปลอดภัยเพราะถูกอาแอบดูตอนอาบน้ำ มาอยู่ด้วยกัน ให้เรียนเสริมสวย ขยันทำงาน จนยืนด้วยตัวเองได้”
บ้านบุญเต็มช่วยสังคมในการตามเด็กหนีออกจากบ้านได้เยอะสุดทั้งพุทธและมุสลิม ทั้งตามเจอเป็นศพและตัวเป็นๆ เพราะมีเครือข่ายเยอะ แอนบอกว่า วัยรุ่นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมีปัญหาเยอะมาก ถ้าพ่อแม่ไปแจ้งตำรวจ 3-4 วันก็หาไม่เจอ แต่ถ้ามาที่นี่สัก 2 ชั่วโมงก็เจอ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รู้จะไปตั้งต้นหาที่ไหน เด็กจะช่วยกันปกปิด ไม่บอก ต้องมีวิธีการในการขอความร่วมมือด้วยการบอกตามตรง
จากเหตุป่วนเมืองของวัยรุ่นใน อ.เมืองยะลา เริ่มจาก 2-3 ปีที่แล้วที่เด็กพุทธที่ติดยา รวมกลุ่มแล้วก่อปัญหา โชว์พลัง จนมีทั้งเด็กพุทธและมุสลิมที่ใช้ยา เมื่อดีดยาก็ออกมาแว้นท์มอเตอร์ไซค์ แข่งกัน หรือรวมตัวกันเวลามีคอนเสิร์ต เต้นเสร็จก็ตีกันชกกัน เริ่มเป็นความขัดแย้ง ในกลุ่มเด็กพุทธมีทั้งพุทธและมุสลิมใน อ.เมือง ส่วนกลุ่มเด็กมุสลิมมีมุสลิมอย่างเดียวจากชุมชนรอบๆ อ.เมือง เมื่อเด็กพุทธออกอาละวาดจะตีเด็กมุสลิมที่เป็นใครก็ได้ที่ขี่รถผ่านเข้ามา ตีแล้วเอาทรัพย์สินไปด้วยเหมือนปล้นทรัพย์ เอาไปขายแลกยา เด็กมุสลิมก็ทำกลับ แอบเอาอาวุธเข้ามาเวลาฝนตกเมื่อผ่านด่านก็ไม่โดนตรวจ แล้วเอาไปฝากไว้ตามบ้านหรือหอพักเพื่อน โดยมีข้อสังเกตในเวลากลางคืนถ้าเห็นใครพกร่ม คือพกอาวุธซ่อนไว้ข้างใน หรือให้เด็กผู้หญิงถือเพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ตรวจ ส่วนใหญ่คนที่โดนคือคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย คนที่เป็นแกงค์ไม่โดน
“เด็กที่มีปัญหาส่วนใหญ่เป็นลูกตำรวจ พ่อแม่น่าสงสาร ต้องช่วยเอาลูกออกมา ซึ่งเด็กเคยเล่าว่า ขี่มอเตอร์ไซต์แล้วถูกเด็กมุสลิมตี เมื่อไปบอกเจ้าหน้าที่บางคนที่มีอคติกับมุสลิมก็จะยุเด็กให้ไปตีกลับและบอกว่าจะช่วยอีกแรง เมื่อเป็นแบบนี้ ปัญหาบ้านเราก็ไม่จบ เคยเจอด้วยตัวเองตอนไปศาล มีตำรวจที่ดูแลในศาลมาจากนครสวรรค์ เขาถามพี่เป็นพุทธหรือมุสลิม เลยถามไปว่า เป็นพุทธหรือมุสลิมแล้วมีปัญหาอะไรมั้ยคะ เขาตอบว่า ถ้าพี่เป็นมุสลิม ผมไม่คุยกับพี่นะ บอกเขาไปว่า คุณมาจากไหนคุณกลับไปทางนั้น เขาลงมาทำงานด้วยความแบ่งแยกและระแวงในความรู้สึก ถ้าพี่เป็นมุสลิมจะเจ็บปวดแค่ไหนกับคำพูดของตำรวจคนนี้ที่ตั้งธงอคติมาแล้ว มาด้วยความแบ่งแยกที่ไม่ดีต่อมุสลิม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชายแดนใต้ อยากให้กลับไปแก้ที่ต้นเหตุจริงคือ คนที่ลงมาทำงานในพื้นที่
ผ่านมาตั้ง 12 ปี ทำไมไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร มีทั้งกอ.รมน. ศอ.บต. ศชต. มีคนทำงานระดับดอกเตอร์มากมาย ทำไมปล่อยให้ปัญหายืดยาวมาถึง 12 ปีแก้ไขไม่ได้ รู้ปัญหาต้องแก้ได้ นอกจากไม่ยอมแก้และปกปิดประเด็นแท้จริงที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่เชื่อถือกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในความจริงใจในการทำงาน ต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด”
ในการแก้ปัญหาในพื้นที่นี้ แอนบอกว่าต้องแก้ตั้งแต่ต้นน้ำ กระบวนการยุติธรรมที่ศาลต้องเริ่มตั้งแต่การละเมิดสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ทุกคนมีวินัยคุมในการทำงาน เมื่อเกิดเหตุต้องตรวจค้นต้องขออนุญาตทุกครั้ง ต้องรายงานตัว หรือการไม่มีสองมาตรฐาน เช่น ลูกชายเธอนั่งซ้อนท้ายเพื่อนมุสลิมจะไปสอบ เมื่อถึงด่านเจ้าหน้าที่กักตัวเพื่อนไว้แล้วให้ลูกไป แต่ลูกชายไม่ทิ้งเพื่อนบอกว่าถ้าจับต้องจับทั้งสองคน หรือเมื่อตรวจค้นจับกุม พนักงานสอบสวนจะบันทึกว่าปากคำเป็นอย่างไร พนักงานสอบสวนคือต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ที่ศาล สามารถเป็นจริงหรือเป็นการถูกกล่าวหาได้ ส่วนอัยการรับไม้ต่อจากพนักงานสอบสวนดูแลเรื่องเอกสารหลักฐาน วัตถุพยาน เพื่อประกอบพิจารณาส่งฟ้อง ถ้าต้นน้ำตรงนี้ได้รับความยุติธรรม จะเบาทุกอย่าง เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปศาล
“ถ้าพนักงานสอบสวนมีสมองและปัญญา ความเชี่ยวชาญและปราศจากอคติ หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็คงจบลงด้วยดี เรามัวแต่แก้ความยุติธรรมโดยละลายงบประมาณ ควรแก้ไขโดยให้ประชาชนรู้เรื่องสิทธิ์ อบรมเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายที่ควรทำ และไม่ควรทำ ไม่ละเมิดสิทธิ์ชาวบ้าน ขอใช้คำว่า “ละเมิดสิทธิ์” คำเดียว เป็นบ่อเกิดของทุกปัญหาในพื้นที่แห่งนี้ ถ้าทุกคนรู้สิทธ์ของตัวเองจะไม่มีปัญหา สามารถปกป้องตัวเองได้ เจ็บปวดกับสิ่งที่ถูกกระทำ เด็กในเมืองถูกกระทำมากกว่าเด็กรอบนอกเพียงแต่ไม่มีใครมาสนใจประเด็นในเมือง ไม่มีเอ็นจีโอ ไม่มีนักสิทธิมนุษยชนมาร่วมปกป้องหรือรับฟังปัญหา เด็กที่ถูกละเมิดสิทธิ์มากที่สุดคือเด็กนอกระบบ”
เมื่อเธอเข้ามาทำงานภาคประชาสังคม ได้เรียนรู้กลุ่มต่างๆ ที่เปิดพื้นที่และให้ความรู้เด็กเปิดพื้นที่และเปิดตัวโดยใช้บ้านเป็นศูนย์ ช่วยเหลือแนะนำ สร้างงานสร้างอาชีพ ยั่งยืนกว่าให้เงิน ขอพื้นที่ให้เด็กไปอบรม สัมมนา เห็นโลกกว้างและชีวิตที่อีกยาวไกล เรียนรู้จากความเป็นจริง ได้เดินทางไปหลายที่โดยสลับกันไป ร่วมกิจกรรมกับสังคมมากขึ้น แต่งตัวเรียบร้อย กล้าพูดคุย มีเพื่อนเพิ่มขึ้น ทุกคนเปิดพื้นที่ให้เด็กกลุ่มนี้ได้มีชีวิตเช่นปกติ เจ้าของกิจการในยะลาช่วยให้มีงานทำที่เหมาะสม
“มีคนถามว่าทำไมมาช่วยเด็กกลุ่มนี้ บอกเขาว่า ใครจะรู้ว่าต่อไปเด็กพวกนี้อาจเป็นนายกอบต.ก็ได้ เพราะมีน้ำใจ เพื่อนเยอะ อนาคตที่เขาคิดได้ ต้องให้เวลาและประสบการณ์ชีวิตสอนเขา เปิดโอกาสให้ตัวเอง จากการไม่มีสังกัดทำให้ได้รับการยอมรับจากสังคม”
“พี่เป็นคนไม่ประมาท พูดความจริง ไม่ได้ทำในสิ่งชั่วร้าย มีแต่คนไม่ชอบพูดความจริง เวลาเด็กมุสลิมถูกจับมีญาติมาให้กำลังใจเป็นรถกะบะ แต่เด็กพุทธบางครั้งพ่อแม่ยังไม่มาเพราะอาย หน้าบาง เด็กก็โดดเดี่ยว ทำให้ยิ่งเจ็บแค้น แม่บางคนบอกว่าลูกไม่พูดด้วย ต้องเปิดใจแม่แล้วเอาเด็กมาส่ง พี่จะคุยจนรู้ว่าเด็กมีความทรงจำในบางสิ่งตั้งแต่เด็กจนโต รอการชดเชย อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกลูก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เด็กบางคนไม่มีภูมิคุ้มกันในชีวิตเลย บอบบางทางความรู้สึก ขณะที่เด็กบางคนผิดหวังจนเคยชิน ต้องให้เด็กรู้จักความผิดหวังบ้าง พูดคุยด้วยเหตุผล ให้เรียนรู้จากความเป็นจริงและคนด้อยโอกาส ซึ่งแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน
เตือนน้องที่ทำงานภาคประชาสังคมว่าอย่างทิ้งลูก ทิ้งครอบครัว อยู่กับลูกชาวบ้าน เยียวยาคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อย่าลืมนึกถึงคนใกล้ตัว อย่าให้ครอบครัวมีปัญหา
ได้รู้จักป้าทิชา ณ นคร ที่เป็นผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก อยากทำเช่นนั้น ไม่ให้เด็กไปอยู่ในวังวนของคดีความ เด็กวัย 13-16 ยังมีเนื้อดีที่ดึงกลับมาได้ ใน 10 คน ดึงมาได้หนึ่งคนถือว่าทำสำเร็จ ตอนที่ตีกันมากๆ ทางศอ.บต.ได้อนุมัติทำโครงการนำเด็กพุทธและมุสลิมฝ่ายละ 15 คน ขออนุญาตพ่อแม่พาไปร่วมโครงการบำบัดที่สวนสัตว์สงขลา 5 วัน 5 คืน โดยทีมบำบัดจากโรงพยาบาลตุลาการเฉลิมพระเกียรติ จ.นครปฐม มาดูแล เป็นโรงพยาบาลบำบัดที่สุดยอดของไทย บำบัดทุกอาการทั้งติดยา เซ็กซ์ และอื่นๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จบโครงการเด็กรักกัน ไม่มีปัญหากัน มีการเข้าไปเรียนรู้ในเรือนจำกลางสงขลา พบกับนักโทษชั้นดีที่บอกข้อคิดมาคือ ในเรือนจำมี 2 โลกคือ โลกของคนที่คิดปรับตัว เรียนรู้ และโลกที่ยิ่งเลวร้าย อยู่ที่คนเลือก เป็นสิ่งที่คุ้มค่าและมีประโยชน์มาก ได้เด็กมีคุณภาพกลับมาเป็นเด็กปกติ ต้นทุนชีวิตมีภูมิคุ้มกันและบอกว่า “จะห่างไกลเรือนจำให้มากที่สุดในชีวิต”
ขณะที่เด็กจำนวนมากที่พ่อแม่ส่งไปยังสถานบำบัดต่างๆ แล้วกลับมาบอกว่า สถานที่เหล่านั้นเป็นที่รวมตัวของคนติดยา เชื่อมต่อเครือข่ายยาเสพติดได้มากขึ้น และปกปิดความจริงบางอย่าง เด็กเคียดแค้นที่พ่อแม่ส่งไปทรมานทำให้ยิ่งติดยาหนักขึ้น ถ้าส่งไปที่โรงพยาบาลแห่งนี้เราจะได้รับเยาวชนปกติกลับมาเป็นพลังของสังคม”
หลากหลายเรื่องราวที่แอนและสมาชิกของบ้านบุญเต็มกำลังก้าวย่าง เป็นหลากหลายประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ เรื่องราวแห่งชีวิตที่เป็นจริง
ทุกคนในบ้านหลังนี้ช่วยกันประคับประคอง ฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อทุกวันในปัจจุบันและอนาคตที่ดี ยังพร้อมต้อนรับสมาชิกเพื่อช่วยแนะแนวทางให้ชีวิตได้พบเจอสิ่งดีๆ…
ที่นี่…บ้านบุญเต็ม